อิตาลี | Sicily ส่องเมืองสวยไม่ซ้ำใครที่ควรไปเยือนสักครั้ง
เมื่อกล่าวถึงการเดินทางไปเที่ยวประเทศอิตาลี(Italy) ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเมืองโด่งดังอย่างโรม(Roam) ฟลอเรนซ์(Florence) เวนิส(Venezia) มิลาน(Milan) เมืองอันทรงเสน่ห์เหล่านี้เป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางไปเที่ยวอิตาลีก่อนเสมอ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่เที่ยวเมืองเหล่านี้มาบ้างแล้ว ต้องการหาแสวงหาประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดากับสถานที่เที่ยวใหม่ๆ การท่องเที่ยวแบบนอกกระแสหรืออันซีน ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ อยากแนะนำให้รู้จักกับ ซิซิลี(Sicily) 1 ใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี ดินแดนแห่งพระแม่ธรณีสามขา Trinacria เนื่องจากอยู่ทั้งทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรป ทวีปเอเชีย ซิซิลี(Sicily)มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง มีชายหาดสวยงาม บ้านเมืองคลาสิค มีไร่องุ่นพันธุ์ดี วัฒนธรรมอาหารหลากหลายที่มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ซิซิลี(Sicily) มีลักษณะเป็นเกาะอยู่ตอนใต้ของประเทศอิตาลี เป็นเกาะใหญ่ที่สุดกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซิซิลี(Sicily) รายล้อมด้วย 3 ทะเล คือ ทะเลติร์เรเนียน(Tyrrhenian Sea) , ทะเลไอโอเนียน(Ionian Sea) และทะเลเมเดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Sea) ซิซิลี(Sicily) แยกออกจากคาบสมุทรอิตาลี โดยมีช่องแคบเมสซีน่า(Stretto di Messina)คั่น ดูแล้วเหมือนเกาะซิซิลีเป็นลูกฟุตบอลกำลังถูกรองเท้าบูธ(อิตาลี) เตะอยู่
ซิซิลี(Sicily) เป็นหนึ่งในอีกหลายแคว้นในอิตาลีที่ เกอเธ่ หรือโยฮันน์โวล์ฟกังฟอนเกอเธ่(Johanunn Wolfgang von Goethe) นักเขียนชื่อดังนักกวีชื่อก้องโลกชาวเยอรมันได้เคยมาใช้ชีวิตช่วงหนึ่ง เขาได้เขียนไว้ในไดอารี่ส่วนตัวและภายหลังได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ Italian Journey เล่าถึงเรื่องราวของผู้คน ภูมิทัศน์ ประวัติศาสตร์ สถานที่ อาหารการกิน มีผลทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
ด้วยซิซิลี(Sicily) มีทำเลที่ตั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดี จึงเป็นที่หมายตาของชนชาติต่างๆมากมาย ที่ได้ผลัดเปลี่ยนเข้ามายึดครองพื้นที่แถบซิซิลี(Sicily) ตามช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่สมัย กรีก โรมัน อาหรับ นอร์มัง ฝรั่งเศส และสเปน สิ่งที่แต่ละชนชาติทิ้งไว้นั้นกลายมาเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวที่ปรากฎในรูปแบบวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกิน ประกอบกับมีภูมิประเทศที่ไม่เหมือนใครมีภูเขาไฟเอทน่า(The Mount Etna volcano) ที่ยังคุกรุ่นอยู่ มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงาม ภูมิอากาศอบอุ่นอ่อนโยน ทำให้ซิซิลี(Sicily) มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ซิซิลี(Sicily) มีสถานที่เที่ยวสวยงามแปลกตาและยังให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกประวัติศาสตร์โบราณ มีสถานที่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างหลายแห่งซ่อนความน่าสนใจไว้ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล เชิญชวนให้ท่านมีโอกาสได้เที่ยวซิซิลี (Sicily) สักครั้งในชีวิต
เมืองทาโอร์มินา(Taormina)
เมืองทาโอร์มินา(Taormina) เมืองเล็กริมทะเลที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดบนเกาะซิซิลี(Sicily) ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของเกาะ ตัวเมืองตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงามบนเขา สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของชายฝั่งด้านล่าง ด้านหน้าของตัวเมืองหันออกทะเลจะมองเห็นทะเลไอโอเนียน(Ionian Sea)สีฟ้าคราม และด้านหลังยังปรากฎความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟเอทน่า(The Mount Etna volcano) ที่ยังครุกรุ่นอยู่ เมืองทาโอร์มินา(Taormina) เคยเป็นอาณานิคมเก่าแก่ที่สุดสมัยกรีกโบราณ ดังนั้นวัฒนธรรมกรีกมีอิทธิพลเด่นชัด ด้านล่างของเมืองเป็นเกาะขนาดเล็กๆลักษณะเป็นชายหาด “ไอโซลา เบลลา” (Isola Bella) สามารถนั่งกระเช้าจากตัวเมืองทอร์โอมินาด้านบนเพื่อลงมายัง ไอโซลา เบลลา(Isola Bella) ด้านล่างได้ ในช่วงฤดูหนาวบางครั้งกระเช้าอาจปิดทำการ แต่สามารถเดินลงมาตามแนวเขาที่จัดไว้ให้เป็นทางเดินได้อย่างสะดวก สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนี้เช่น โรงละครกรีกแห่งทาโอร์มิน่า(Ancient Greek Theatre of Taorminatre), ถนนคอร์โซ อัมเบอร์โต้ (Corso Umberto)
โรงละครกรีกแห่งทาโอร์มิน่า(Ancient Greek Theatre of Taormina)
โรงละครกรีกแห่งทาโอร์มิน่า(Ancient Greek Theatre of Taorminatre) เมืองทาโอร์มินา ซิซิลี แห่งนี้เป็นอารยธรรมของโลกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล เป็นสิ่งปลูกสร้างที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมกรีก-โรมันโบราณ รูปแบบของโรงละครโบราณมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมสร้างตามแบบกรีกโบราณ นับเป็นโรงละครโบราณที่มีชัยภูมิดีที่สุด แต่ละขั้นของโรงละครใช้ความชันลดหลั่นกันมองเห็นภาพภูเขาไฟเอทน่าสีขาวเทาที่ยังคุกรุ่นอยู่ เห็นทิวทัศน์ทะเลสีฟ้าสวยสดของทะเลไอโอเนียนได้อย่างชัดเจน หากได้ยืนอยู่กลางโรงละครกรีกแห่งนี้ประหนึ่งว่ากำลังย้อนยุคกลับไปชมสถาปัตยกรรมล้ำค่าสุดคลาสิคที่คนโบราณได้สร้างไว้ ในปัจจุบันโรงละครแห่งนี้ยังมีการใช้งานในการจัดเทศกาลของเมืองในบางครั้งอีกด้วย
ถนนคอร์โซ อัมเบอร์โต้(Corso Umberto)
ถนนคอร์โซ อัมเบอร์โต้ (Corso Umberto) ถนนสายหลักกลางเมืองที่มีอาคารบ้านเรือนสไตล์ยุโรปสีเหลือง ครีม น้ำตาล สูงเพียง 2-4 ชั้นลดหลั่นไปตามความสูงของภูเขา ด้านบนส่วนใหญ่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ด้านล่างใช้ทำเป็นร้านค้า ทุกบ้านหันหน้าออกไปทางเดียวกันหมด เพื่อมองทะเลสีฟ้าเบื้องล่างได้ตลอดเวลา มีโบสถ์ประจำเมือง ตาโอมิน่า สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13
ถนนคอร์โซ อัมเบอร์โต้(Corso Umberto) ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งสำคัญของเมือง ด้วยบรรยากาศสุดคลาสสิค ประหนึ่งคุณช้อปปิ้งอยู่ย่านเมืองเก่าของยุโรป ประกอบด้วยซอกซอยแยกเล็กแยกน้อย มีศิลปะซ่อนอยู่ทุกซอกมุม บ้างประดับประดาด้วยดอกไม้สีสันจัดจ้านแทรกซึมอยู่ตามอาคารบ้านเรือน มีทั้งที่ปลูกตามธรรมชาติและอยู่ในกระถางเซรามิครูปหัวคนอันเป็นสัญลักษณ์ของเกาะซิซิลี
ร้านขายเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน เครื่องเซรามิค งานกระเบื้องเคลือบแต้มลวดลายสีสันสดใสที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์แบบท้องถิ่น
มีร้านคาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ ร้านขนมสัญชาติซิซิลี ชื่อคาโนลี่(Canoli) ร้านไอศกรีมเจลาโต กรานิต้า(Granita) ที่มีต้นกำเนิดที่ซิซิลี ร้านอาหารทะเล ร้านอาหารอิตาเลียน วิวบรรยากาศติดทะเลให้เลือกมากมายที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี
เมืองปาแลร์โม(Palermo)
ทุกๆแคว้นในอิตาลีนั้นย่อมมีเมืองหลัก หรือเมืองหลวงของแคว้น ซิซิลีก็เช่นกันมีเมืองหลวง คือ ปาแลร์โม(Palermo) เมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะซิซิลี(Sicily)
เมืองปาแลร์โม(Palermo) เมืองถิ่นมาเฟียอิตาลี เรื่องราวของมาเฟียต้นกำเนิดที่เมืองปาแลร์โม(Palermo) ได้ถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์ชื่อดังสุดคลาสิคเรื่อง “The Godfather” เมืองนี้เคยถูกยึดครองโดยชาวกรีก โรมัน อาหรับ นอร์แมน อารยธรรมต่างๆของแต่ละชนชาติได้ทิ้งร่องรอยไว้ในรูปแบบของ พระราชวัง วิหาร สถาปัตยกรรมผสมผสานกันอย่างงดงาม
พระราชวังนอร์แมน(Palazzo dei Normanni)
พระราชวังนอร์แมน(Palazzo dei Normanni) เป็นอดีตพระราชวังหลวงที่เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์นอร์แมน และกษัตริย์หลายๆพระองค์ ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเมืองใจกลางย่านเมืองเก่าทำให้เห็นมุมมองของเมืองได้อย่างทั่วถึงจากมุมสูง ภายในพระราชวังประกอบด้วย แคปเปลล่า พาลาตินา(Cappella Palatina) ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้กลายมาเป็นสภาท้องถิ่นประจำเมือง
แคปเปลล่า พาลาตินา(Cappella Palatina)
แคปเปลล่า พาลาตินา(Cappella Palatina) สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยกษัตริย์โรเจอร์ที่ 2 ของนอร์มัน เป็นโบสถ์ประจำพระราชวังนอร์แมนอันทรงคุณค่า แต่เดิมโบสถ์นี้เป็นวังของชาวอาหรับที่เคยเข้ามายึดครอง หลังจากกษัตริย์โรเจอร์ที่ 2 ของนอร์มันได้เข้ามาปกครองดินแดนแถบนี้ มิได้ทำลายศิลปะดั้งเดิมของชาวอาหรับแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้เชิญช่างฝีมือหลากหลายสาขามาช่วยกันตกแต่ง เช่น ช่างมุสลิมจากแอฟริกาเหนือในการทำ “มูการ์นาส” (Muqarnas) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบอิสลามแกะสลักบนเพดานหลังคาโค้งและทาสีอย่างวิจิตรตระการตา ศิลปะลวดลายรูปทรงเรขาคณิตตามกรอบผนังในโบสถ์เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับอิทธิมาจากอาหรับเช่นกัน ช่างแกะสลักหินอ่อนจากอิตาลี ที่มีงานปรากฎอยู่ตามผนังด้านล่างและพื้นด้านล่าง ช่างโมเสกฝีมือดีจากคอนสแตนติโนเปิล การประดับประดาภายในของโบสถ์เป็นภาพโมเสกทองคำเหลืองอร่าม ศิลปะโดดเด่นของโบสถ์คือหลังคาโดมประดับด้วยโมเสคทองคำรูปพระเยซูอร่ามงามตา ภาพโมเสกสีทองต่างๆในโบสถ์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิ้ล ตำนานพระเจ้าสร้างโลก อดัมอีฟ นักบุญต่างๆ โบสถ์แห่งนี้จึงเป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างอาหรับ ไบแซนไทน์ นอร์มันที่น่าทึ่งยิ่งนัก องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization)ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก
แคปเปลล่า พาลาตินา(Cappella Palatina) แห่งนี้เป็นต้นแบบของวิหารมอนเรอาเล(Monreale Cathedral) ขนาดของโบสถ์ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับวิหารมอนเรอาเล แต่ความงดงามวิจิตรบรรจงนั่นไม่เป็นรองแต่อย่างใด
มหาวิหารปาแลร์โม(Palermo Cathedral)
มหาวิหารปาแลร์โม(Palermo Cathedral) วิหารตั้งอยู่ใจกลางเมือง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1184 ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาปาแลร์โมได้ถูกปกครองโดยอารยธรรมที่แตกต่างจากหลายชนชาติจึงสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอาหรับ นอร์มัน ด้านนอกของวิหารประกอบด้วยหอคอยสไตล์นอร์มัน ประตูด้านใต้เป็นทางเข้าหลักของโบสถ์ งานที่ซุ้มประตูเป็นงานม้วนเสาอย่างปราณีตงดงาม การตกแต่งด้านในโบสถ์เป็นสไตล์นีโอคลาสิค
วิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo)
วิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo) หรือ Cathedral of Monreale สุดยอดของสถาปัตยกรรมอาหรับไบแซนไทน์ นอร์มัน กรีก โรมัน อาหรับ วิหารแห่งนี้ได้ถูกสร้างระหว่างปี 1170-1189 ให้เป็นโบสถ์คริสต์โดยกษัตริย์นอร์มัน คิงส์วิลเลี่ยมที่ 2 ซึ่งพระองค์มิได้ทำลายศิลปะดั้งเดิมของผู้ที่ได้เคยเข้ามาครอบครองแต่อย่างใด จึงทำให้วิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo) มีความแตกต่างทางศิลปะที่ผสมผสานกันอย่างงดงามลงตัวและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ด้านหน้าวิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo) สวยงามโดดเด่นด้วยหอคอยสองหลัง ตรงกลางระหว่างหอคอยสองหลังเป็นเสาโค้งแบบนีโอคลาสิคสร้างด้วยหินอ่อน กรอบประตูสองบานทำด้วยทองสัมฤทธิ์ สถาปัตยกรรมโค้งครึ่งวงกลมมีการแกะสลักลวดลายเรขาคณิตสไตล์อาหรับ
ส่วนด้านในของวิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo) ตกแต่งด้วยการนำกระเบื้องโมเสกทองคำ(golden mosaic) ชิ้นเล็กๆมาเรียงต่อกันเป็นภาพต่างๆ เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระคำภีร์ไบเบิ้ล ภาพนักบุญ กษัตริย์ อดัมกับอีฟ เทวดา โนอาห์(Noah) จุดเด่นของโบสถ์เป็นภาพโมเสกทองคำกลางโค้งขนาดใหญ่รูป Christ Pantocrator เหนือแท่นพิธีเป็นภาพพระเยซูพระหัตถ์ขวาชี้ด้านบน พระหัตถ์ซ้ายถือหนังสือมี 2 ภาษา คือ ละตินและกรีกข้อความว่า “I am the light of the world he that follow me shall not walk in darkness but shall have the light of life” เสาหินสองฝั่งภายในของมหาวิหารรองรับช่องที่เป็นส่วนโค้ง หัวเสาสถาปัตยกรรมไตล์กรีกโรมันมีการแกะสลักลวดลายละเอียดอ่อนงดงาม ส่วนด้านบนเหนือช่องเสายังประดับด้วยโมเสกทองคำอร่ามภาพเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อหาในพระคัมภีร์เช่นกัน ในส่วนของพื้นวิหารทำด้วยหินอ่อนลวดลายเรขาคณิตสลับรูปทรงงดงามตามสไตล์อาหรับ
พื้นด้านในวิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo)
เพดานด้านในวิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo)
ระเบียงคด(Cloister) ในวิหารมอนเรอาเลมีอาณาบริเวณกว้างขวางทรงสี่เหลี่ยมประกอบด้วยเสาคู่ผอมเพรียวมีถึง 228 เสา ระเบียงเสาโครินเธีย(Corinthian) สถาปัตยกรรมกรีกโรมัน เสาแต่ละต้นประดับประดาไม่เหมือนกันทุกต้น บ้างประดับโมเสกทองคำลวดลายเรขาคณิตสไตล์อาหรับ บ้างเป็นเสาแบบเรียบ บ้างมีการแกะสลักเป็นนูนต่ำนูนสูงเล่าเรื่องราวตามพระคำภีร์ หัวเสามีการแกะสลักลวดลายละเอียดอ่อนงดงามหาที่ใดเปรียบ
วิหารมอนเรอาเล(Monreale Duomo) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) อีกด้วย
เธียร์เตอร์ เมสซิโม(Theater Massimo)
เธียร์เตอร์ เมสซิโม(Theater Massimo) โรงละครขนาดใหญ่ และคลาสิคของแคว้นซิซิลี(Sicily) การตกแต่งด้านนอกของโรงละครได้รับอิทธิพลมาจากกรีกโบราณ เสากรีกโบราณขนาดใหญ่เด่นตระหง่าน บันไดอันโอ่อ่าด้านหน้าเคยเป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์ดัง “The Godfather” ภาค 3 ตอนที่บุตรสาวของไมเคิล คอลีโอเน่ ถูกยิงเสียชีวิตในขณะที่ได้เข้ามาดูละครที่โรงละครโอเปร่าแห่งนี้ ส่วนการตกแต่งด้านในหรูหราด้วยกำมะหยี่สีแดงสด หลังคาทรงโดมงดงามด้วยเหล่าภาพวาด ระบบเสียงที่สมบูรณ์แบบ ปัจจุบันใช้ในการแสดงดนตรี โอเปร่า บัลเลต์ งานดนตรี ซิมโฟนี แจ๊ส โรงละครแห่งนี้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวอิตาลี และชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
สุสานใต้ดินคาปูชิน(Catacombs of The Capuchins)
สุสานใต้ดินคาปูชิน(catacombs of The Capuchins) ตั้งอยู่เมืองปาแลร์โม สร้างเมื่อ ค.ศ.1599 ขุดลงไปในอุโมงค์ใช้สำหรับเก็บศพนักบวชที่เสียชีวิต ต่อมาไม่ได้มีเฉพาะศพนักบวชเท่านั้นยังมีศพบุคคลหลายอาชีพ ศพถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่ในการเก็บรักษา ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก แบ่งตามอาชีพ ศิลปิน แพทย์ ทหาร นักกฎหมาย นักบวช การเก็บรักษาใช้วิธีการดองศพด้วยเทคนิคพิเศษ ศพแต่ละร่างจะมีการแต่งกายตามอาชีพนั้นๆ ศพจะจัดแสดงไว้ในแนวราบ แนวตั้ง หรือแขวนบนกำแพงตามช่องที่ขุดไว้ บางศพอยู่ในโลง ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม
จัตุรัสเปียซซา พรีโตเรีย(Piazza Pretoria)
จัตุรัสเปียซซา พรีโตเรีย(Piazza Pretoria) จัตุรัสที่ถูกวางผังเมืองอย่างดีโดยมีตึกรามอาคารเก่าแก่ล้อมรอบ จัตุรัสเปียซซา พรีโตเรียนี้นำไปสู่สถานที่สำคัญๆในบริเวณใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ต่างๆ วิหาร ร้านอาหาร ร้านขายของ น้ำพุพรีทอเรีย(Fontana Pretoria) น้ำพุแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สร้างโดยสถาปนิกชาวฟลอเรนซ์ ฟรานเชสโก คามิลเลียนนี( Francesco Camilliani) น้ำพุพรีทอเรีย(Fontana Pretoria) เป็นน้ำพุที่รายล้อมด้วยรูปปั้นหินอ่อนสีขาวแวววาวในสรีระเปลือยละเอียดอ่อนดูเหมือนจริง เป็นส่วนส่งเสริมให้น้ำพุแห่งนี้ดูมีพลังและเพิ่มความสง่างามสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ผ่านไปมา เป็นเสมือนศูนย์กลางของสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนแวะมาเก็บภาพความประทับใจ
ควาทโตร คานติ(Quattro Canti)
ควาทโตร คานติ(Quattro Canti) จัตุรัสที่มีถนนตัดแยกเป็น 4 สาย คือ Albergheria, Vacciria, La Kalsa ,Capo โดยมีตึกอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์บารอคงดงามด้วยงานปูนปั้นที่โดดเด่นที่สุดตั้งอยู่ในแต่ละแยกของถนน ตามซอยเต็มไปด้วยความขลังของอาคารสมัยเก่าประกอบด้วยร้านค้า คาเฟ่ บาร์ ร้านขายสินค้าต่างๆมากมาย
ตลาดพื้นเมือง
ตลาดพื้นเมืองกลางแจ้งสถานที่ที่จะทำให้เราได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวเมืองแท้ๆ ตลาดบัลลาโร(The Ballaro Market) ตลาดพื้นเมืองร้อยกว่าปีเก่าแก่ที่สุดได้อิทธิพลมาจากอาหรับคล้ายซุก(Souk) เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในตลาดยุคกลาง คลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าและผู้ซื้อมาพบปะกัน เสียงร้องที่บาดหูของเหล่าพ่อค้าชาวซิซิลีตะโกนประสานเสียงดังสนั่นสำเนียงซิซิเลียน เสียงนั้นไม่ได้เป็นการทะเลาะกันแต่อย่างใดแต่เป็นการแข่งขันกันเชื้อเชิญผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้ลองชิมเลือกซื้อสินค้าผลผลิตของเขานั่นเอง ผลผลิตที่ขายมีหลากหลายทั้ง ผัก ผลไม้ ปลา อาหารทะเลสด เนื้อสัตว์ เครื่องเทศ ของแปรรูป ขนมต่างๆ
เนื่องจากซิซิลีติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผลผลิตต่างๆจึงมีค่อนข้างเยอะหลากหลาย และคุณภาพดี นอกจากตลาดบัลลาโรแห่งนี้ ยังมีตลาดอื่นๆอีก เช่น Capo และ Vucciria การได้เดินเล่นในตลาดพื้นเมืองที่ซิซิลี จึงได้เข้าถึงครบรสทั้งรูป รส กลิ่น เสียง การได้เห็นภาพแผงผลไม้ สีแดง ส้ม เหลือง เขียว เสียงกระทบของลังไม้ที่บรรจุผลผลิตและการตะโกนโหวกเหวกของพ่อค้าแม่ค้า กลิ่นคละคลุ้งของอาหารสด กลิ่นขนมอบหอมฟุ้ง การได้ลิ้มรสของพื้นเมืองต่างๆ เป็นการได้สัมผัสวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง
เมืองเซฟาลู(Cefalu)
เมืองเซฟาลู(Cefalu) เมืองเล็กๆแต่มีเสน่ห์ ตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินเขาติดหาดทางตอนเหนือของซิซิลีห่างจากเมืองปาแลร์โมไปทางตะวันออกประมาณ 70 กิโลเมตร เซฟาลู(Cefalu)มีหาดทรายสวยที่สุดบนเกาะซิซิลี(Sicily) เป็นจุดหมายของหลายคนในการมาเที่ยวที่เกาะซิซิลีแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นเมืองตากอากาศก็ไม่ผิดเพราะมีโรงแรมน้อยใหญ่มาเปิดที่นี่ จุดเด่นของเมืองคือชายหาดที่สวยงามทอดยาวไปตามแนวตัวเมือง หาดทรายสีขาว น้ำทะเลสีฟ้าครามใสไร้มลพิษ ผู้คนมากมายต่างมาท่องเที่ยวกันในช่วงฤดูร้อนพักผ่อนเล่นน้ำทะเล อาบแดดริมชายหาด
เมืองเซฟาลู(Cefalu) ไม่เพียงเด่นเฉพาะหาดทรายเท่านั้นที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว บรรยากาศในใจกลางเมืองก็เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่เรียงราย ร้านอาหารท้องถิ่นสไตล์ซิซิเลียนน่ารักน่านั่ง ร้านขายของเล็กๆสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะมีอยู่ทุกซอกทุกมุม แถว Corso Ruggero ก็คึกคักไม่แพ้กัน
โบสถ์ประจำเมือง Cefalu Cathedral สร้างในศตวรรษที่ 12 กษัตริย์โรเจอร์ที่ 2 ได้นำช่างฝีมือมาสร้างโบสถ์แห่งนี้ ด้านในมีการประดับประดาโมเสก ศิลปะโมเสกแบบไบแซนไทน์ โดมกึ่งวงกลมเป็นภาพโมเสกของพระเยซูสไตล์สถาปัตยกรรมอาหรับ นอร์มัน ช่วงที่นอร์มันเข้ามายึดครองนับเป็นเอกลักษณ์ของซิซิลี โบสถ์ประจำเมืองแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization)
เมืองอากรีเจนโต(Agrigento)
เมืองอากรีเจนโต(Agrigento) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของซิซิลี เมืองเก่าแก่เแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่มีร่องรอยอารยธรรมกรีกที่รุ่งเรืองในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณใจกลางเมืองอากรีเจนโต ตึกรามบ้านเรือนเก่าแก่คลาสิก ตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของ จัตุรัสใจกลางเมืองมีทั้งโบสถ์ โรงละคร
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเมืองอากรีเจนโต(Agrigento) ก็คือแหล่งโบราณคดี “หุบเขาแห่งวิหาร”(Valley of Temple) หรือพื้นที่โบราณคดีอากรีเจนโต(Archaeological Area of Agrigento) ตั้งอยู่บริเวณสันเขา แหล่งอารยธรรมสมัยกรีกรุ่งเรืองเข้ามาสร้างวิหารบูชาเทพเจ้า หุบเขาแห่งวิหาร(Valley of Temple) แบ่งเป็นสองโซน คือโซนตะวันออก และตะวันตก ในหุบเขาแห่งวิหารนี้มีวิหารกระจายอยู่หลายแห่ง แต่ละแห่งตั้งชื่อตามเทพเจ้าที่กรีกได้ทิ้งร่องรอยไว้ วิหารแต่ละแห่งเชื่อมกันด้วยถนนลูกรังที่ตัดผ่านหุบเขาแห่งนี้ วิหารที่เก่าแก่ที่สุดคือ The Temple of Heracles (Hercules) วิหารที่เก่าแก่แห่งนี้ด้านในเก็บรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของ Hercules ที่นี่ถูกทำลายโดยสงคราม และภัยธรรมชาติ ปัจจุบันเหลือเพียงเสาแปดเสาให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม นอกจากนี้ยังมีวิหาร The Temple of Castor and Pollux เป็นวิหารของพี่น้องฝาแฝดในตำนานที่เกิดจากการรวมกันของดาวพฤหัสบดีและราชินีแห่ง Sparta, The Temple of Olympian Zeus(Jupiter), The Temple of Aesculapius, The Temple of Vulcano, The Temple of Juno(Hera Lakinia)
อีกหนึ่งวิหารที่สำคัญและยังคงมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในหุบเขาแห่งวิหารคือ วิหารคองคอร์ด “Temple of Concordia” วิหารแห่งนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุดรูปทรงคล้ายวิหารพาร์เธนอนของกรีก สร้างเมื่อ 430 ก่อนคริสตกาลเพื่อบูชาเทพเจ้า เป็นสถาปัตยกรรมกรีกโบราณ เสาดอริกโดดเด่นของวิหารมีความงดงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ด้านหน้าวิหารมีรูปปั้นผลงานของ Igor Mitoraj ประติมากรชาวโปแลนด์ เป็นรูปของบุรุษชื่ออิคารัส(Icarus) ชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อฟังคำสอนของผู้เป็นพ่อ ตามตำนานกรีกเล่าว่า อิคารัสเป็นลูกชายของเดดาลัส(Daedalus) เดดาลัสมีความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์สิ่งต่างๆมากมาย เรียกว่าเป็นนักประดิษฐ์ในยุคนั้นเลยทีเดียว สิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ “เขาวงกต” (Labyrinth) แต่มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ทั้งสองถูกจองจำอยู่ในหอคอย วันหนึ่งเดดาลัส(Daedalus) ได้สังเกตเห็นว่าบนหอคอยแห่งนี้มักจะมีนกบินมาเกาะอยู่เป็นประจำ ผู้เป็นพ่อจึงมีความคิดที่จะหนึ โดยการสร้างปีกเพื่อให้บินได้เหมือนนก เขาทำการรวบรวมขนนกจำนวนมาก และสร้างปีกขึ้นสำเร็จ ทั้งสองวางแผนที่จะบินหนีออกจากเกาะแห่งนี้ ผู้เป็นพ่อได้บอกกับลูกชายว่าตอนบินให้ระวังอย่าบินต่ำจนเกินไปเพราะปีกจะเปียกน้ำ และอย่าบินสูงจนเกินไปเพราะหากใกล้ดวงอาทิตย์เกินไปจะทำให้ความร้อนของดวงอาทิตย์ไปละลายขี้ผึ้งที่ยึดขนนกเอาไว้ได้ แต่เมื่อถึงเวลาด้วยความคึกคะนองอิคารัส(Icarus) ก็บินไปใกล้ดวงอาทิตย์จนทำให้วัสดุที่เชื่อมปีกของเขาละลายปีกหลุดตกลงทะเลตาย
พื้นที่โบราณคดีอากรีเจนโต(Archaeological Area of Agrigento) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) เมื่อปี ค.ศ.1997 คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม
เมืองเปียซซาอาร์เมรินา(Piazza Armerina)
เมืองเปียซซาอาร์เมรินา(Piazza Armerina) เมืองในอดีตเคยถูกปกครองโดยชาวนอร์มัน(Normans) สถานที่สำคัญในเมืองนี้ เช่น โรมัน วิลล่า เดล คาสเซิล(Villa Romana del Casale) คฤหาสน์ขุนนางในสมัยโบราณสร้างขึ้นในปี ค.ศ 300 สมัยที่โรมันเข้ามายึดครอง เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณที่ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่ ภายในมีการแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ เรือนรับรอง ห้องโถงกลางขนาดใหญ่แสดงถึงความมั่นคั่งของผู้ปกครองในสมัยนั้น มีการตกแต่งประดับภาพโมเสกร้อยเรียงต่อกันเป็นงานอันทรงคุณค่าบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ การล่าสัตว์ ตกปลา ภาพสัตว์ต่างๆ ทิวทัศน์ธรรมชาติในสมัยอดีต ภาพคนสมัยก่อน
ภาพออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆของคนสมัยก่อน
Villa Romana del Casale ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) เมื่อปี ค.ศ. 1997 คลิกอ่านข้อมูบเพิ่มเติม
เมืองคัคคาโม(Caccamo)
คัคคาโม(Caccamo) เมืองที่อยู่ระหว่างปาแลร์โมและเซฟาลู เป็นเมืองบนเนินเขาเหนืออ่าว Gulf of Termini Imerese มีปราสาทขนาดใหญ่ ปราสาทคัคคาโม(Caccamo Castle) ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เป็นฐานที่มั่นสำคัญของสมัยนอร์มันในสมัยก่อน เป็นที่พำนักของดยุคแห่ง Caccamo สถานที่แห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
เมืองคาทาเนีย(Catania)
เมืองคาทาเนีย(Catania) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของซิซิลี ใกล้ภูเขาไฟเอทน่า(Monte Etna) เมืองนี้เคยถูกทำลายจากแผ่นดินไหวถึงสองครั้งสองครา การที่ถูกทำลายแต่ละครั้งได้มีการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่นำมาซึ่งความเจริญทั้งสถาปัตยกรรม โบสถ์ วิหาร พระราชวัง ตกแต่งวิจิตรบรรจงมีเอกลักษณ์ ตึกรามบ้านเมืองจะเป็นสไตล์บาร็อคโด่ดเด่นงดงาม
ภายในตัวเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น มหาวิหารแห่งเมืองคาทาเนีย(Catania Cathedral) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1094 , จัตุรัสกลางเมือง, มีตลาดพื้นเมือง (Piazza Carlo Alberlo Market) ตลาดเก่าแก่จำหน่ายของสด ผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นวิถีชีวิตท้องถิ่นของพ่อค้าแม่ค้าผู้ซื้อมาพบปะซื้อขายพูดคุยกัน
เมืองคาทาเนียป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีคุณภาพมาก ที่นี่มีแหล่งปลูกองุ่นจำนวนมากอันเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของดินแถบภูเขาเอทน่า
ภูเขาไฟเอทน่า(Mount Etna)
ภูเขาไฟเอทน่า(Mount Etna) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะซิซิลี อยู่ห่างจากเมืองคาทาเนีย 29 กม. ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,350 เมตร เป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดในยุโรปและยังเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ มีการระเบิดพ่นลาวาครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ยังคงมีร่องรอยลำธารลาวาทั้งเก่าและใหม่อยู่ตามทางลาดของภูเขา ด้านบนไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นภูเขาไฟที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับซิซิลีมาเนิ่นนาน
ถึงแม้จะเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่แต่ก็มีข้อดีเอื้อประโยชน์ให้ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านแถบภูเขาไฟเอทน่า(Mount Etna) ดินภูเขาไฟแถบนี้อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุบางอย่างเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเกษตรทำให้เขตบริเวณเมืองด้านล่างห่างไกลออกไปสามารถเพาะปลูกพืชผลบางอย่างได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ เช่น สวนผลไม้ องุ่น แอปเปิ้ล มะนาวและส้มหลากหลายสายพันธุ์ บริเวณแถบภูเขาไฟเอทน่าเป็นแหล่งปลูกองุ่นขนาดใหญ่ที่ใช้ทำไวน์คุณภาพเยี่ยมอันเนื่องด้วยความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพภูมิอากาศ แดด ลม หลายอย่างเอื้ออำนวยให้องุ่นมีคุณภาพสูง สามารถนำมาพัฒนาและผลิตไวน์ที่มีคุณภาพสูงออกจำหน่ายสู่ยุโรป สร้างชื่อเสียงให้แก่เกาะซิซิลีแห่งนี้อย่างมาก นอกจากนี้บริเวณภูเขาไฟเอทน่า(Mount Etna) ยังเป็นแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเกาะซิซิลี
กิจกรรมอีกอย่างที่น่าสนใจของที่นี่คือการนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมภาพรวมทั้งหมดของภูเขาไฟเอทน่า(Mount Etna) การนั่งเฮลิคอปเตอร์มองวิวจากบนฟ้าจะมองเห็นใจกลางภูเขาไฟ เห็นความลาดเอียงและเห็นปล่องควันด้านบนสุด สีเหลือง สีดำและเทาของเถ้าถ่าน หรือขึ้นกระเช้าขึ้นไปด้านบน และเปลี่ยนเป็นรถจี๊ปเพื่อชมวิวทิวทัศน์เห็นภาพกระแสลำธารลาวาเก่าแก่อายุหลายศตวรรษเป็นประสบการณ์ยากที่จะหาได้จากที่อื่น
ด้วยความสูงและมีความลาดชันที่ได้ระดับของภูเขาไฟเอทน่าประกอบกับหิมะที่ตกเป็นปุยละเอียดป็นบริเวณกว้าง ในช่วงประมาณ กลางเดือนพฤศจิกายน-ประมาณกลางเดือนเมษายน ทางแถบเหนือของภูเขาไฟเอทน่า(Etna Nord) เช่น บริเวณลิงกัวกลอสซา(Linguaglossa) และทางแถบใต้ของภูเขาไฟเอทน่า(Etna Sud) บริเวณ นิโคโลซี(Nicolosi) เป็นบริเวณเล่นสกีที่ได้รับความนิยมมาเป็นเวลานาน ใครที่ชอบเล่นสกีต้องบอกเลยว่าการเล่นสกีหรือเล่นสโนว์บอร์ดบนพื้นผิวสายธารลาวาโบราณปกคลุมด้วยปุยหิมะขาวโพลนเมื่อหน้าหนาวมาเยือนพร้อมชมทิวทัศน์ของภูเขาไฟเอทน่าที่มีหิมะปกคลุมเป็นประสบการณ์ยากจะหาได้จากที่ใด
ภูเขาไฟเอทน่า(Mount Etna) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมจากยูเนสโก(UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 2013
เมืองไซราคิวส์(Syracuse)
.
เมืองไซราคิวส์(Syracuse) เมืองนี้ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ถูกค้นพบโดยกรีกเมื่อศตวรรษที่ 27 หลังจากนั้นโรมันเข้ามาตี และยึดครองไซราคิวส์(Syracuse) ซึ่งกว่าโรมันจะตีเมืองได้สำเร็จใช้เวลาค่อนข้างนานถูกต่างชาติผลัดเปลี่ยนเข้ามาครอบครองหลายชนชาติด้วยกันทำให้สถาปัตยกรรมมีการผสมผสานกันในหลายรูปแบบ เมืองไซราคิวส์(Syracuse) เป็นบ้านเกิดของอะคิมิดีส(Archimedes) นักคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ ประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรง อาวุธสงครม เครื่องเหวี่ยงหิน เครื่องปล่อยท่อนไม้ ใช้สู้รบกับทหารโรมันเมื่อคราวเมืองเมืองไซราคิวส์ถูกโจมตี
เมืองไซราคิวส์(Syracuse) เป็นหนึ่งในอีกหลายเมืองในเกาะซิซิลีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) )สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไซราคิวส์(Syracuse) เช่น
โบสถ์ไซราคิวส์(Siracusa Cathedral หรือ Duomo Di Siracusa) เป็นโบสถ์เก่าแก่ตั้งแต่สมัยชาวกรีกเข้ามายึดครองและได้สร้างวิหารเพื่อบูชาเทพเจ้าทำให้โบสถ์นี้มีอารยธรรมของกรีกอยู่บ้าง ต่อมาโรมันเข้ามาตีเมืองไซราคิวส์จึงเปลี่ยนเป็นโบสถ์คริสต์ พ้นจากการยึดครองของโรมันเปลี่ยนมือเป็นอาหรับเข้ามาตีและเปลี่ยนโบสถ์แห่งนี้เป็นมัสยิด ชาวนอร์มันเข้ามายึดครองแทนโรมันและได้เป็นกลับไปเป็นโบสถ์คริสต์อีกครั้ง แต่เมื่อปี 1693 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่โบสถ์นี้จึงถูกทำลายลง และได้มีการสร้างใหม่เป็นแบบสไตล์บารอค
เปียซ่า ดูโอโม(Piazza Duomo) จัตุรัสใจกลางเมืองมีตึกรามอาคารเก่าแก่โบราณสไตล์บารอคดูคลาสิคงดงาม เมื่อได้เดินเล่นชื่นชมบรรยากาศไปตามถนนแคบๆตรอกซอกซอยเหมือนย้อนกลับไปในอดีตโบราณ ใจกลางเมืองเป็นแหล่งรวมร้าน ร้านขายของที่ระลึก
Necropolis of Pantalica เป็นที่ตั้งหลุมศพที่เกิดจากการเจาะตัดภูเขาหินทราย ในอดีตมีหลุมศพกว่า 5,000 หลุม ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO World Heritage Site) เมื่อปี 2005
เมืองเมสซิน่า(Messina)
เมืองเมสซิน่า(Messina) เมืองใหญ่อันดับ 3 ของซิซิลี ตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ เพียง 5 กิโลเมตร คั่นระหว่างเกาะซิซิลีกับแผ่นดินใหญ่ของอิตาลี เป็นประตูสู่ซิซิลี ที่มีประวัติความเป็นมากว่า 4,000 ปี
เมืองเมสซิน่า(Messina) แห่งนี้เป็นหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของแคว้นซิซิลี และเป็นหนึ่งในเมืองท่าที่มีเรือสำราญมาจอดเทียบท่าเพื่อนำนักท่องเที่ยวมาเที่ยวสถานที่เที่ยวสำคัญต่างๆ เช่น มหาวิหารเมสซิน่า(Messina Cathedral) เป็นมหาวิหารสไตล์โกธิคที่มีตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 , จตุรัสกลางเมือง(Piazza del Duomo) มีร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก
เมืองมาซาลา(Marsala)
เมืองมาซาลา(Marsala) เมืองเล็กๆตั้งอยู่ทางปลายทิศตะวันตกของซิซิลี ที่นี่เป็นแหล่งผลิตไวน์ Marsala หนึ่งในสุดยอดไวน์ซิซิลีที่มืชื่อเสียงโด่งดัง
ไวน์ท้องถิ่นในแถบเมืองมาซาลา(Marsala) มีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันมีโรงบ่มไวน์ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปดูขั้นตอนการผลิตไวน์ท้องถิ่นในแถบนี้ได้ ใจกลางเมืองมีพิพิธภัณฑ์ มีจตุรัสกลางเมืองที่สามารถเดินเล่นเพลิดเพลินไปกับร้านอาหาร ร้านไวน์ ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ
เมืองโมดิกา(Modica)
เมืองโมดิกา(Modica) เมืองนี้เคยถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวเมื่อปีค.ศ.1693 จากนั้นได้ถูกสร้างขึ้นใหม่สถาปัตยกรรมในเมืองเป็นแบบสไตล์บารอค(Baroque) นับเป็นช่วงสุดท้ายที่รุ่งเรืองของศิลปะบารอค เมืองโมดิกา(Modica) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization)
ในตัวเมืองมีโบสถ์เซนต์จอร์จ(The Duomo of San Giorgio)โบสถ์สวยสไตล์บารอคซิซิเลียนเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดของเมืองโมดิกา
เมืองโมดิกา(Modica) มีชื่อเสียงด้านช็อกโกแลต นั่นเป็นเพราะซิซิลีเคยถูกครอบครองโดยสเปนมาก่อน สเปนได้นำเมล็ดโกโก้และสูตรการทำช็อกโกแลตมาจากเผ่าแอชเทค(Aztec) เข้ามาเผยแพร่ทำให้ช็อกโกแลตในแถบนี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
เมืองทราปานี(Trapani)
เมืองทราปานี(Trapani) เมืองนี้ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันตกของเกาะซิซิลี เป็นเมืองที่ทะเลทรีเรเนียน(Tyrrhenian Sea) และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน(Mediterranean Sea) มาบรรจบกันเป็นทางเรือที่สำคัญในเขตฝั่งตะวันตกของซิซิลีมีชื่อเสียงในการตกปลาทูน่าและผลิตเกลือมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ใจกลางเมืองเก่าของทราปานีเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมตั้งแต่ศตวรรษที่ 14
เมืองโนโต(Noto)
เมืองโนโต(Noto) เมืองขนาดกลางริมทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะซิซิลี(Sicily) เคยถูกแผ่นดินไหวถล่มเมื่อปีค.ศ. 1693 ทำลายเมืองทั้งเมือง แผ่นดินไหวยังทำลายเมืองต่างๆอีกหลายเมือง
เมืองโนโต(Noto) หลังจากถูกแผ่นดินไหวทำลายจึงได้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ในสไตล์บารอค และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization)
ภายในตัวเมืองมีสถานที่สำคัญ เช่น วิหารโนโต้(Noto Cathedral) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17-18 เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บารอคที่ดีที่สุดของเมือง
พระราชวังดูเซซิโอ(Ducezio Palace) พระราชวังที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ วินเซนโซ ซินาตร้า (Vincenzo Sinatra) ปัจจุบันกลายเป็นที่ตั้งของสภาเมืองโนโต้
เมืองรากูซา(Ragusa)
เมืองรากูซา(Ragusa) เมืองชนบทอันงดงาม ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะซิซิลี เมืองนี้เคยแผ่นดินไหวร้ายแรงเมื่อปีค.ศ.1693 จากนั้นได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ภายในตัวเมืองเต็มไปด้วยอาคารสไตล์บารอคสุดคลาสิคกลายเป็นเอกลักษณ์ของเมือง จุดเด่นอีกอย่างของเมืองรากูซาคือมีการวางผังเมืองที่แสดงถึงนวัตกรรมที่โดดเด่น
เมืองรากูซา(Ragusa) แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Upper Ragusa เมืองด้านบน และRagusa Ibla เมืองด้านล่าง ทั้งสองส่วน มีทั้งโบสถ์ จัตุรัส ร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร เรียงรายอยู่ใจกลางเมือง
เมืองรากูซา(Ragusa) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) เมื่อปีค.ศ.2002
ด้วยเสน่ห์ที่ล้นเหลือของซิซิลี(Sicily) ถึงแม้จะผ่านกาลเวลาไปเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจลดเลือนความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเกาะซิซิลีแห่งนี้ไปได้ ซิซิลีอาจยังไม่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของใครบางคนแต่บอกเลยว่าหากใครได้มีโอกาสมาเที่ยว ทัวร์ซิซิลี อิตาลี สักครั้งคุณจะได้รับความประทับใจจากสถานที่แห่งนี้ไปแสนนาน
“To have seen Italy without having seen Sicily is to not
have seen Italy at all, for Sicily is the clue to everything"
ถ้าเคยเห็นอิตาลีแต่ยังไม่เคยเห็นซิซิลีถือว่ามาไม่ถึงอิตาลี ซิซิลีคือเบาะแสของทุกสิ่ง
-Johann Wolfgang von Goethe-
- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -
สนใจโปรแกรมทัวร์อิตาลีคลิกที่นี่
คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์
โทร.02-0488-785-7 Hotline 085-151-1000 , 094-782-6888 และ 093-570-3000