เปรู | ชวนสัมผัสประสบการณ์น่าทึ่งกึ่งมหัศจรรย์ เมื่อเที่ยวเปรู(Peru)
เปรู(PERU) ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ ตั้งแต่มหาสมุทรแปซิฟิกผ่านเทือกเขาแอนดีส ล้อมรอบด้วย ประเทศโบลิเวีย ชิลี เอกวาดอร์ โคลอมเบีย บราซิล เปรู มีภูมิประเทศที่หลากหลาย นอกเหนือจากที่ราบสูงอันเลื่องชื่อตลอดจนทะเลทรายที่ทอดยาวบนชายฝั่งตะวันตก เปรูก็ยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะให้รู้ว่านี่คือ Peru เปรูมีสถานที่เที่ยวอะไรบ้าง เปรูมีอะไรน่าเที่ยว ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ชวนสัมผัสประสบการณ์น่าทึ่งกึ่งมหัศจรรย์ ประเทศเปรู(Peru) พร้อมแล้วไปกันเลย
1. เมืองลิมา(Lima)
ลิมา(Lima) เป็นเมืองหลวงของ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเปรู ตั้งอยู่บนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี ก่อตั้งขึ้นโดย ฟรานซิสโก ปิซาโร(Francisco Pizarro) ในปี 1535 เมืองลิมามีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของเปรู ในระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 17 โดยมีบทบาทสำคัญในการเป็นฐานการค้า ฐานการเรียนรู้ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมรับนักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองลิมา เช่น
Miraflores(มิราโฟลเรส) นับเป็นสวรรค์ริมชายฝั่งของชาวลิมา เป็นย่านหรูของลิมา เป็นจุดเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับเมืองนี้ หน้าผาอันน่าทึ่งทำให้มองเห็นวิวมหาสมุทรอันสวยงาม พร้อมด้วยทางเดินที่ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่ง ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินเล่น วิ่งจ๊อกกิ้ง หรือเพียงดื่มด่ำกับความงามของมหาสมุทรแปซิฟิกเท่านี้ก็เกินพอ
Parque del Amor(อุทยานแห่งความรัก) เป็นสถานที่ที่ต้องไปเยี่ยมชม มีรูปปั้นอันเป็นเอกลักษณ์ และบรรยากาศโรแมนติก ย่านนี้ยังขึ้นชื่อในด้านเมนูอาหารที่มีชีวิตชีวา โดยมีร้านอาหารมากมายที่เสิร์ฟอาหารเปรูรสเลิศ
จัตุรัส Plaza de Armas หรือที่รู้จักกันในชื่อ Plaza Mayor ซึ่งเป็นจัตุรัสหลัก และนับเป็นศูนย์กลางของเมืองลิมา มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ที่นี่รายล้อมไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมสเปนที่วยงาม เป็นจัตุรัสที่มีชีวิตชีวา มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านค้ามากมายตามถนนโดยรอบ เป็นแหล่งรวมกิจกรรม และจุดยอดนิยมสำหรับการนั่งดูผู้คน บริเวณนี้ยังเป็นพื้นที่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ เราอาจได้เห็นขบวนพาเหรด อาจได้เห็นบรรยากาศของงานเฉลิมฉลอง Plaza de Armas ในลิมาไม่ได้เป็นเพียงเพชรเม็ดงามทางประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของความมีชีวิตชีวาในเมืองอีกด้วย นับเป็นสถานที่ที่ต้องไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะคนที่สนใจสำรวจประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเปรู
ทำเนียบรัฐบาล(Palacio de Gobierno) อันยิ่งใหญ่ ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเปรู ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของจัตุรัส เป็นที่รู้จักในชื่อบ้านปิซาร์โร(The House of Pizarro) เนื่องจากสร้างขึ้นบนพื้นที่บ้านเดิมของปิซาร์โร
The Cathedral of Lima(อาสนวิหารลิมาอันงดงาม) อาสนวิหารลิมา เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรก ตั้งโดดเด่นอยู่ทางด้านตะวันออกของจัตุรัส ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา มีคอลเล็กชันงานศิลปะทางศาสนาที่น่าสนใจ
Archbishop's Palace พระราชวังอาร์คบิชอป หรือ Palacio Arzobispal เป็นอาคารที่โดดเด่นอีกหลังหนึ่งทางฝั่งตะวันออกของจัตุรัส เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุทางศาสนา และเป็นต้นแบบที่ดีของสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคม
2. ทะเลสาบติติกากา(Titicaca lake)
ทะเลสาบติติกากา(Titicaca Lake) เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีส(Andes Mountains) บริเวณแคว้นปูโน(Puno) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเปรู(Peru) หรือชายแดนของประเทศเปรู และในแคว้นลาปาซ(Lapaz) ทางตะวันตกของประเทศโบลิเวีย(Bolivia) ครอบคลุมพื้นที่ 8,372 ตารางกิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ย 3,810 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทะเลสาบติติกากาเป็นทะเลสาบที่สามารถเดินเรือทางพาณิชย์ที่สูงที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สูงที่สุดในโลก ทะเลสาบติติกากา(Titicaca Lake) มีเกาะน้อยใหญ่รวมกว่า 40 เกาะ นับเป็นความสวยงาม และเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติทำสำคัญของเปรู
ทะเลสาบติติกากา(Titicaca Lake) ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อีกด้วย ที่นี่มีความเกี่ยวข้องกับอารยธรรมอินคา และเชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของกษัตริย์อินคาองค์แรก Manco Cápac บริเวณโดยรอบทะเลสาบเต็มไปด้วยซากปรักหักพังโบราณและแหล่งโบราณคดี
เที่ยวอะไรใน ทะเลสาบติติกากา(Titicaca Lake)
เยี่ยมชมหมู่เกาะลอยน้ำอูรอส(Uros Floating Islands) อูรอสเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นจากต้นโทโทร่า(Totora) หรือโตโตร่า หรือโทโตรา แล้วแต่จะสะกด หรือต้นกก ซึ่งเป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งที่พบได้ในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะทะเลสาบติติกากา และบนเกาะอีสเตอร์ในมหาสมุทรแปซิฟิก ชาว Uros เป็นชนพื้นเมืองที่มีมาก่อนอารยธรรมอินคา อาศัยอยู่บนเกาะลอยน้ำที่ทำจากต้นกกแห้งที่มัดรวมไว้ มานานหลายศตวรรษ และยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของตนไว้ เกาะลอยน้ำที่ชาวอูรอสอาศัยอยู่ทำมาจากต้นTotora เกาะต่างๆ เหล่านี้จะกระจายอยู่ในทะเลสาบติติกากา เกาะมีขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เกาะขนาดเล็กก็มีจำนวนครอบครัวอยู่ในอาจ 2-3 ครอบครัว เกาะขนาดใหญ่ก็มีจำนวนครอบครัวมากขึ้น
ชาวอูรอสยังใช้ต้นTotora ในการสร้างที่อยู่อาศัย สร้างเรือ (บัลซาส) สร้างข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จากต้นกกแห้งที่มัดรวมไว้ด้วยในติตีกากา โดยทั่วไปจะเติบโตได้ที่ระดับความลึกของน้ำ 2.5–3 เมตร แต่จะเติบโตได้น้อยกว่าที่ระดับความลึก 5.5 เมตร
ที่อยู่อาศัยแบบนี้ของชาวอูรอสทำให้พวกเขาเคลื่อนไหว และเคลื่อนย้ายที่อยู่ได้ง่าย หากอยู่ๆ ไปแล้วเริ่มไม่พอใจตำแหน่งที่ตั้ง ก็สามารถย้ายไปยังที่ใหม่โดยง่าย หากอยู่แล้วมีปัญหากับเพื่อนบ้าน ก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่โดยไม่ยาก นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือทัวร์ไปยังเกาะต่างๆ และเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม Uros
เที่ยวชมเกาะ Taquile เป็นเกาะที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอีกเกาะหนึ่งในทะเลสาบติติกากา เกาะนี้เป็นที่รู้จักจากชนพื้นเมืองที่พูดภาษาเกชัว และประเพณีดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการถักนิตติ้ง และสิ่งทอ เกาะแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจวัฒนธรรมท้องถิ่น
สัตว์ป่า ทะเลสาบติติกากาเป็นที่อยู่อาศัยของนกน้ำ และปลาหลากหลายสายพันธุ์ หนึ่งในผู้อยู่อาศัยที่มีชื่อเสียงที่สุดคือกบยักษ์แห่งทะเลสาบติติกากา(Telmatobius culeus) ซึ่งเป็นหนึ่งในกบน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก
3. หมู่เกาะบัลเลสทาส(Ballestas island)
หมู่เกาะบัลเลสทาส(Ballestas island) มีฉายา กาลาปากอสเปรู หมู่เกาะ Ballestas เป็นกลุ่มเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งปารากัส(Paracas) ในจังหวัดปิสโก(Pisco) ของประเทศเปรู ซึ่งอยู่ห่างจากลิมา เมืองหลวงของเปรู ไปทางใต้ประมาณ 250 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ และสัตว์ป่าทะเลที่อุดมสมบูรณ์เพราะที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าทะเลนานาชนิด รวมถึงสิงโตทะเล แมวน้ำ นกเพนกวิน และนกทะเลหลากหลายสายพันธุ์ เช่น นกกระทุง นกกาน้ำ และนกบูบี เกาะเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสัตว์เหล่านี้ นับเป็นสวรรค์ของคนรักสัตว์
หมู่เกาะ Ballestas ประกอบด้วยกลุ่มหินขรุขระ และหน้าผาทะเล ซึ่งเป็นแหล่งวางไข่ของนกทะเล แนวหินเหล่านี้ถูกกัดเซาะไปตามกาลเวลา ทำให้เกิดรูปทรงและส่วนโค้งที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้เกาะต่างๆ โดดเด่นสะดุดตา
นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมหมู่เกาะ Ballestas ได้โดยนั่งเรือชมบรรยากาศ ชมสัตว์ป่า และภูมิทัศน์อันน่าทึ่งของเกาะต่างๆ อย่างใกล้ชิด
การเยี่ยมชมหมู่เกาะ Ballestas ถือเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะได้สัมผัสกับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่หลากหลาย และความงามอันน่าทึ่งของธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในการสำรวจเขตอนุรักษ์แห่งชาติปารากัสที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องภูมิประเทศทะเลทราย ชายหาด และแหล่งโบราณคดี
4. บ้านของอัลปาก้า(Alpaca)
บ้านของอัลปาก้า(Alpaca) เปรูเป็นบ้านของประชากรอัลปาก้ามากกว่า 70% ของโลก มีถิ่นที่อยู่แถบเทือกเขาแอนดีส อัลปาก้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกอูฐ อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ หลายๆ คนมักจะสับสนกับลามะ(Lama) อัลปาก้าจะมีขนาดเล็กกว่าลามะ โดยมีรูปร่างเพรียวกว่า และขาสั้นกว่า มีหูที่สั้นกว่า และหัวที่โค้งมนมากขึ้น
อัลปาก้าเป็นสัตว์สังคมที่อาศัยอยู่เป็นฝูง พวกมันเป็นสัตว์ที่อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น ชาวเปรูมักเลี้ยงอัลปาก้าไว้ในบ้าน เพราะอัลป้าก้าเป็นสัตว์ที่สะอาด และสามารถสอนให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทางได้ ขนของอัลปาก้าคล้ายขนของแกะ ถูกนำมาใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าห่ม และพรม อัลปาก้ามีสองสายพันธุ์ คือ Huacaya และ Suri Huacaya มีขนที่นุ่มฟู ส่วน Suris มีขนที่นุ่มและเป็นเส้นตรง เส้นใยที่ได้จากอัลปาก้า ได้รับการยอมรับในเรื่องของความนุ่ม ความอบอุ่น และความทนทานสูง ผลิตภัณฑ์จากขนอัลปาก้าไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ไม่มีสารลาโนลิน(Lanolin) จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย โดยทั่วไปแล้วอัลปาก้าจะถูกตัดขนปีละครั้ง
อัลปาก้าเป็นสัตว์เลี้ยงของชาวอินคามานานนับพันๆ ปี เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัฒนธรรมของชาวอินคาเชื่อว่าเป็นของขวัญจากพระแม่ธรณี การได้มาเที่ยวเปรู ได้เซลฟี่กับอัลปาก้า นับเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของการมาเที่ยวเปรู นักท่องเที่ยวสามารถเห็นอัลปาก้าได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งในเปรู
5. เมืองคูซโก(Cusco)
คูซโก หรือคุซโก หรือกุสโก(Cusco หรือ Cuzco) เมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอนดีส ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเปรู โดยอยู่บนความสูงประมาณ 3,300 เมตร เมืองคูซโก หรือกุสโก เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิอินคา หลังจากสเปนมายึดครองและตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ลิมา Cusco ก็ถูกลดความสำคัญลง แต่หลังจากที่มีการค้นพบมาชูปิกชูในปี พ.ศ.2454 เมืองกุสโกก็กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ นับเป็นประตูสู่ มาชู ปิกชู
กุสโก เป็นเมืองที่ยังคงรักษาเสน่ห์อินคาดั้งเดิมเอาไว้ การผสมผสานกันของวัฒนธรรมอินคา(Inca) และฮิสแปนิก(Hispanic) และยังคงรักษาสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมสเปน ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ในปี ค.ศ.1983 Cusco ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จากยูเนสโก(UNESCO) หรือองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเมืองกุสโส เช่น
Plaza de Armas of Cusco เป็นจัตุรัสใหญ่ใจกลางเมืองเก่า นับเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมือง รายล้อมไปด้วยอาคารสำคัญ มีทางเดิน ระเบียงไม้แกะสลัก และซากปรักหักพังของกำแพงอินคา บริเวณนี้จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก
Cusco Cathedral วิหารกุสโก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 วิหารกุสโกเป็นโบสถ์อาณานิคมสเปนที่น่าประทับใจที่สุดแห่งหนึ่งในเปรู
Qorikancha วิหารแห่งดวงอาทิตย์เป็นสถานที่ทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิอินคา ชาวสเปนสร้างคอนแวนต์ซานโตโดมิงโกบนยอดวิหาร แต่งานหินของชาวอินคายังคงมองเห็นได้
San Blas(ซาน บลาส) เป็นย่านเก่าแก่ และงดงามในเมืองกุสโก(Cusco) ประเทศเปรู มักเรียกกันว่า "ย่านช่างฝีมือ" หรือ "บาร์ริโอ เด ซาน บลาส"(Barrio de San Blas) เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับช่างฝีมือ และช่างฝีมือในท้องถิ่น ที่นี่มีประวัติอันยาวนานในการเป็นศูนย์กลางของช่างฝีมือที่มีทักษะ ที่ทำงานกับไม้ หิน และโลหะ ย่านนี้จึงเป็นที่ตั้งของเวิร์กช็อป และแกลเลอรีมากมายที่ศิลปินท้องถิ่นสร้าง และขายงานฝีมือ รวมถึงสิ่งทอแอนเดียนแบบดั้งเดิม เซรามิก และเครื่องประดับเงิน
San Blas ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ Cusco และเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องถนนแคบ ๆ ที่ปูด้วยหิน สถาปัตยกรรมยุคอาณานิคม และแหล่งศิลปะที่มีชีวิตชีวา
ย่านนี้มีชื่อเสียงในเรื่องโบสถ์ Iglesia de San Blas โบสถ์แห่งนี้ขึ้นชื่อจากธรรมาสน์ไม้ที่สวยงาม แกะสลักโดยช่างฝีมือพื้นเมือง
San Blas ยังมีวิวอันน่าทึ่ง เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นจัตุรัสหลักของกุสโก นักท่องเที่ยวจะได้ชมทัศนียภาพอันงดงามของเมือง และบริเวณโดยรอบ การปีนขึ้นสู่ San Blas อาจสูงชัน แต่ทิวทัศน์ก็คุ้มค่าแก่ความพยายาม
ซาน บลาส มีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และเป็นโบฮีเมียน ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับทั้งนักเดินทาง และศิลปินท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจะได้พบกับแกลเลอรีศิลปะ ร้านขายงานฝีมือ และร้านกาแฟบรรยากาศสบายๆ มากมายที่ทำให้คุณได้เพลิดเพลินกับกาแฟสักถ้วยไปพร้อมกับดื่มด่ำกับกลิ่นอายศิลปะของย่านนี้
หากมาถูกจังหวะ คุณอาจจะได้เห็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเฉพาะช่วง เพราะย่านนี้จะจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ อยู่บ่อยๆ รวมถึงนิทรรศการศิลปะ การแสดงดนตรี และงานแสดงงานฝีมือ กิจกรรมเหล่านี้มักแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของช่างฝีมือท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้มีส่วนร่วมกับชุมชนสร้างสรรค์
San Blas ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร หลายแห่งที่คุณสามารถลิ้มลองอาหารเปรู และอาหารนานาชาติได้ มีร้านอาหารให้เลือกมากมายตั้งแต่อาหารแอนเดียนแบบดั้งเดิมไปจนถึงอาหารฟิวชั่น
San Blas ใช้เวลาเดินเพียงไม่นานจาก Plaza de Armas ซึ่งเป็นจัตุรัสหลักของ Cusco ทำให้นักท่องเที่ยวที่สำรวจเมืองสามารถเดินไปได้อย่างง่ายดาย
ซาน บลาสเป็นย่านที่มีเอกลักษณ์ และมีเสน่ห์ ซึ่งช่วยให้คุณได้สัมผัสประวัติศาสตร์อันยาวนาน และวัฒนธรรมทางศิลปะของกุสโก ที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินกับการสำรวจถนน ชื่นชมงานศิลปะ และสัมผัสกับฉากวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาของย่านนี้
Sacsayhuaman(แซคเซฮวามาน) หรือ Saksaywaman" หรือ Sacsayhuamán เป็นแหล่งโบราณคดีของชาวอินคาที่ตั้งอยู่นอกเมือง Cusco ในเปรู ที่นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างสถาปัตยกรรมอินคาที่น่าประทับใจ และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก(UNESCO) หรือองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ชื่อ "Sacsayhuaman" มาจากคำในภาษาเคชัวว่า "saqsay" ซึ่งแปลว่า "พอใจ" หรือ "อิ่มเอมใจ" และ "waman" แปลว่า "เหยี่ยว" แม้ว่าความสำคัญที่แท้จริงของชื่อนี้ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ก็ตาม
Sacsayhuaman สร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิอินคา น่าจะเป็นศตวรรษที่ 15 สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิปาชาคูติแห่งอินคา และต่อมาได้ขยายเพิ่มเติมโดยผู้สืบทอดของเขา สถานที่นี้มีชื่อเสียงในด้านกำแพงหินขนาดใหญ่ และเทคนิคการก่อสร้างด้วยหินแห้งอันประณีต
จุดเด่นที่สุดของ Sacsayhuaman คือกำแพงหินปูนขนาดใหญ่ที่สร้างจากหินที่มีน้ำหนักหลายตัน หินเหล่านี้บางส่วนถูกตัด และประกอบเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำจนไม่สามารถสอดกระดาษเข้าไประหว่างหินเหล่านั้นได้ หินที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้คาดว่าจะมีน้ำหนักมากกว่า 300 ตัน
Sacsayhuaman แบ่งออกเป็นชั้นขนาดใหญ่สามชั้น ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นเมือง Cusco แท่นเหล่านี้เชื่อมต่อกันด้วยกำแพงซิกแซกที่มีลักษณะคล้ายฟันเลื่อยฟันเลื่อย
สถานที่นี้อยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่มองเห็นเมืองกุสโก มีความสำคัญทั้งด้านการป้องกัน และในด้านพิธีการ ศาสนาสำหรับชาวอินคา เชื่อกันว่าเป็นสถานที่สำหรับพิธีกรรม การรวมตัว และงานเทศกาล สถานที่นี้มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในเรื่อง Inti Raymi ซึ่งเป็นเทศกาลพระอาทิตย์ของชาวอินคา ซึ่งมีการเฉลิมฉลองที่นี่ทุกปีในวันที่ 24 มิถุนายน ทำเลที่ตั้งบนยอดเขาทำให้เป็นจุดชมวิวที่เหมาะสำหรับการชมเมือง
ในศตวรรษที่ 16 ชาวสเปนนำโดย Francisco Pizarro มาถึงเมือง Cusco พวกเขาได้ทำลายสิ่งก่อสร้างของชาวอินคาจำนวนมาก รวมทั้ง Sacsayhuaman ด้วย
ปัจจุบัน Sacsayhuaman เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และเป็นข้อพิสูจน์ถึงทักษะทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมขั้นสูงของอารยธรรมอินคา มีทัศนียภาพอันงดงามของ Cusco และหุบเขาโดยรอบ
เมื่อมาเยือนซัคเซอัวมาน นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจกำแพงหินขนาดใหญ่ของสถานที่ เดินไปตามชานชาลาขั้นบันได และดื่มด่ำกับทิวทัศน์อันตระการตาของกุสโก และภูมิทัศน์แอนเดียนโดยรอบ มักรวมไว้เป็นส่วนหนึ่งของทัวร์ในภูมิภาคกุสโก ร่วมกับแหล่งโบราณคดีอินคาอื่นๆ
Pisac(ปิแซค) เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ตั้งอยู่ในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ของอินคา ซึ่งเป็นภูมิภาคในเทือกเขาแอนดีสของเปรู มีชื่อเสียงในด้านประวัติศาสตร์อันยาวนาน ความงามของธรรมชาติอันน่าทึ่ง และอุทยานโบราณคดี สถานที่่ท่องเที่ยวสำคัญของ Pisac เช่น
อุทยานโบราณคดี Pisac เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักในพื้นที่ มีซากปรักหักพังของชาวอินคาที่กว้างขวาง รวมถึงลานเกษตรกรรม วัด และโครงสร้างหินโบราณ ซากปรักหักพังตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นเมืองและให้ทัศนียภาพอันงดงามตระการตาของหุบเขาโดยรอบ
Inca Terraces Pisac ขึ้นชื่อในเรื่องลานเกษตรกรรมที่ซับซ้อนและกว้างขวางซึ่งสร้างโดยชาวอินคา ระเบียงเหล่านี้แสดงให้เห็นวิศวกรรมขั้นสูงและเทคนิคการทำฟาร์มของอินคา และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีอย่างน่าทึ่ง
ตลาดท้องถิ่นแบบดั้งเดิม Pisac มีชื่อเสียงในด้านตลาดช่างฝีมือ ตลาด Pisac จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ วันอังคาร และวันพฤหัสบดี โดยมีสินค้าหัตถกรรมทำมือ สิ่งทอ เครื่องประดับ และสินค้าเปรูแบบดั้งเดิมมากมาย ใครที่ชอบเดินตลาดท่องถิ่น และมาถึงที่นี่ในวันที่มีตลาด นับเป็นกำไรของการมาเที่ยวเปรูจริงๆ เพราะมันจะทำให้คุณได้เพลิดเพลิน กับสินค้าท้องถิ่นมากมาย และยังได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เพราะ Pisac ยังคงรักษาวัฒนธรรมพื้นเมืองเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของอารยธรรมอินคาที่พูดภาษาเกชัว จึงทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมขนบธรรมเนียม การแต่งกาย และแนวปฏิบัติทางการเกษตรแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
สำหรับใครที่ชอบการเดินป่า Pisac ก็ล้อมรอบไปด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับการเดินป่า
Pisac ก็เหมือนกับเมืองในเปรูหลายแห่งที่จัดเทศกาลต่างๆ ตลอดทั้งปี เทศกาลเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับขบวนพาเหรดหลากสีสัน ดนตรีพื้นเมือง การเต้นรำ และเครื่องแต่งกายอันประณีต การเฉลิมฉลองที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Pisac คือเทศกาล Virgen del Carmen ในเดือนกรกฎาคม
Ollantaytambo เดิมสร้างขึ้นโดยชาวอินคาในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ทำหน้าที่เป็นทั้งศูนย์กลางพิธีการและการบริหารและเป็นฐานที่มั่นสำหรับวัตถุประสงค์ทางการทหาร เป็นเมืองที่มีความสำคัญทาง ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของชาวอินคา มีแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ ตั้งอยู่ในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งอินคาในเปรู ที่นี่มีซากปรักหักพังของชาวอินคาที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี โครงสร้างที่โดดเด่นที่สุดคือป้อมปราการหินขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมแบบขั้นบันได วัด และเครือข่ายอาคารหินที่ซับซ้อน สถาปัตยกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงทักษะอันน่าทึ่งของชาวอินคาในด้านงานหินและวิศวกรรม
และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่ห้ามพลาดเมื่อคุณมาที่เมือง กุสโก(Cusco หรือ Cuzco) ก็คือมาชู ปิกชู(Machu Picchu) และภูเขาสายรุ้ง(Vinicunca)
เมืองกุสโกมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และมีหลายสิ่งให้ดู และทำในเมืองนี้ นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจซากปรักหักพัง เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ และเรียนรู้เกี่ยวกับอาณาจักรอินคา สำหรับท่านที่ชื่นชอบการเดินป่า ก็สามารถเดินป่าตามเส้นทางที่มีให้เลือกได้
6. มาชู ปิกชู(Machu Picchu)
มาชู ปิกชู(Machu Picchu) เมืองที่สาบสูญแห่งอินคา(Lost City of the Incas) เป็นเมืองโบราณอันน่าทึ่งที่สุดในโลก ป้อมปราการแห่งนี้ตั้งตระหง่านท่ามกลางทิวทัศน์เทือกเขาแอนดีส เป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคใหม่
มาชู ปิกชู(Machu Picchu) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่คุ้นเคยมากที่สุดของอาณาจักรอินคา สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 และถูกทิ้งร้างในราวปี ค.ศ.1575 จากนั้นถูกค้นพบอีกครั้งในปี 1911 โดยนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน Hiram Bingham และนับตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ชื่อเสียงของ มาชู ปิกชู มาจากกำแพงหินอันซับซ้อนที่วางซ้อนกัน โดยไม่ต้องใช้ปูนหรือวัสดุเชื่อมต่อใดๆ หินเหล่านี้ถูกวางลดหลั่นเป็นขั้นบันได การมาเที่ยวชมมาชู ปิกชู ให้ละเอียด แนะนำให้อ่านข้อมูลไปก่อน เพราะจะทำให้คุณเที่ยวมาชู ปิกชู ได้สนุกยิ่งขึ้น
มาชู ปิกชู ตั้งอยู่ใน เมืองกุสโก(Cusco) ห่างจากเมืองกุสโกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร(50 ไมล์) ป้อมปราการตั้งอยู่บนสันเขาเหนือหุบเขาแม่น้ำอูรูบัมบา(Urubamba River valley) และล้อมรอบด้วยป่าอันเขียวชอุ่ม นับเป็นความมหัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้าง ผสานลงตัวกับความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่คุณจะสัมผัสทิวทัศน์แบบพาโนรามาได้อย่างมีความสุข
วิธีเดินทางไปเที่ยวมาชู ปิกชู ที่สะดวกที่สุด ก็คือ นั่งรถไฟจากกุสโก(Cusco) การเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เส้นทางของรถไฟจะผ่านทิวทัศน์อันงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาแอนดีส
เมื่อคุณมาถึงมาชูปิกชูแล้ว คุณอาจใช้เวลาเดินสำรวจป้อมปราการ หรือคนที่ชื่นชอบการเดินป่า ที่นี่ก็มีเส้นทางเดินป่าหลายเส้นทางที่นำไปสู่ส่วนต่างๆ ของป้อมปราการ
มาชูปิกชูเป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์และน่าจดจำอย่างแท้จริง หากคุณกำลังวางแผนการเดินทางไปเปรู อย่าลืมเพิ่ม มาชู ปิกชู ไว้ในแผนการเดินทางของคุณด้วย รู้จัก มาชู ปิกชู ให้มากขึ้น คลิกอ่าน Machu Picchu เมืองสาบสูญแห่งอินคา
7. ภูเขาเรนโบว์(Rainbow Mountain)
ภูเขา Vinicunca หรือภูเขาสายรุ้ง(Rainbow Mountain) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าทึ่งที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอนดีส(Andes) ของเปรู ห่างจากเมือง Cusco ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 100 กิโลเมตร แถบสีสดใสประกอบด้วยสีแดง สีส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม และม่วง เป็นผลมาจากการก่อตัวทางธรณีวิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ที่สะสมมานานหลายล้านปี
สีของ Vinicunca เกิดจากแร่ธาตุหลายชนิด รวมถึงเหล็กออกไซด์ ทองแดง แมงกานีส และกำมะถัน แร่ธาตุเหล่านี้สะสมเป็นชั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไป การพังทลาย และการกัดเซาะของภูเขาในเวลาต่อมาได้เผยให้เห็นสิ่งเหล่านี้จึงเกิดเป็นสีรุ้งอย่างที่เห็น
Vinicunca หรือภูเขาสายรุ้ง เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมบริเวณนี้มานานหลายศตวรรษเริ่มละลาย ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในเปรู
การไปยัง Vinicunca เป็นสิ่งที่ท้าทาย การขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงชั้น กับระดับความสูงของ Vinicunca ที่สูงกว่า 5,000 เมตร ที่มีสภาพอากาศเบาบาง ออกซิเจนน้อย คุณอาจจะเกิดภาวะ High Altitude Sickness(อาการปวดหัว เวียนหัว เหนื่อยง่าย เมื่อต้องเดินในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศเบาบาง เช่น พื้นที่ที่มีความสูงมากกว่า 2,000-2,500 เมตร) ซึ่งอาการดังกล่าว อาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แม้คุณจะมีร่างกายแข็งแรงแต่ก็อาจเกิดอาการก็เป็นได้ แม้จะมีข้อกังวล แต่ผลตอบแทนกับปลายทางก็คุ้มค่ากับความพยายาม เพราะทัศนียภาพระหว่างทาง ไปจนถึงจุดหมาย สวยจนลืมเหนือยกันเลยทีเดียว
การจะไปยังยอดเขาคุณสามารถเดินขึ้นไป หรือเลือกที่จะขี่ม้าโดยมีคนจูงก็ได้เช่นกัน แต่ถึงแม้คุณจะใช้บริการขี่ม้า แต่ช่วงไหนที่ชันมาก คุณก็ต้องลงเดินแล้วใช้ความสามารถของสองเท้าและเรี่ยวแรงที่มี เส้นทางที่ลัดเลาะไปตามเทือกเขาแอนดีส จะทำให้คุณได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาโดยรอบ เมื่อไปสู่ยอดเขาแล้วคุณจะได้เห็นภาพภูเขาสีรุ้งที่สวยงาม
เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม Vinicunca คือช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ช่วงนี้อากาศแจ่มใสและมีแดดจ้า และเส้นทางก็แห้ง
8. Shopping
สำหรับท่านที่ชื่นชอบการชอปปิง เปรูก็ไม่ได้ทำให้คุณผิดหวังสำหรับคนที่อยากได้ ของฝากจากเปรู เปรู มือชื่อเสียงในด้านสิ่งทอ หญิงสาวชาวเปรูจะมีความชำนาญในการถักทอลวดลายต่างๆ ได้อย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งยังคงรักษาประเพณีที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เส้นใยอัลปาก้า และลามะถูกแปรสภาพเป็นสิ่งทอที่มีสีสันสดใสประดับประดาด้วยลวดลายที่สลับซับซ้อน สามารถเย็บเป็น หมวก ผ้าห่ม เสื้อ และอื่นๆ แต่ละชิ้นบอกเล่าเรื่องราวของประเพณี และวัฒนธรรม นี่จึงเป็นของฝากจากเปรู ที่ห้ามพลาด ไปเที่ยวเปรูซื้ออะไรดีนะ คลิกอ่าน
9. ลิ้มรสคอคเทลเปรู “Pisco Sour”
ลิ้มรสค็อคเทลเปรู “Pisco Sour” เครื่องดื่มค็อกเทลสุดคลาสสิกที่มีความสมดุลลงตัวระหว่างความหวาน เปรี้ยว Pisco Sour เป็นมากกว่าค็อกเทล แต่มันยังเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และมรดกของประเทศ
สูตรดั้งเดิมของ Pisco Sour ประกอบด้วยบรั่นดี Pisco น้ำมะนาว น้ำเชื่อม ต่อมามีการเติมไข่ขาวลงในสูตรเพื่อให้เครื่องดื่มมีฟองฟู่ และ Angostura Bitters เพื่อให้เครื่องดื่มมีรสชาติที่ซับซ้อนมากขึ้น Pisco Sour เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในเปรู และมักเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยหรือเครื่องดื่มหลังอาหารค่ำ
บรั่นดี Pisco ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ Pisco Sour เป็นบรั่นดีที่ทำมาจากองุ่นที่ผลิตในเมือง Pisco(ปิสโก) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างจากลิมาไปทางใต้ของเปรู ประมาณ 230 กิโลเมตร Pisco(ปิสโก) มีชื่อเสียงเพราะเป็นแหล่งปลูกองุ่นที่สำคัญของเปรู และเป็นโรงบ่มไวน์ แม้เมืองนี้ตั้งอยู่ในสภาพอากาศแบบทะเลทราย แต่การชลประทานของหุบเขาแม่น้ำอิคาทำให้สามารถปลูกองุ่นได้
แม้ว่าลิมาเป็นแหล่งกำเนิดของค็อกเทลนี้ แต่ท่านสามารถหาดื่มได้ในร้านอาหาร และบาร์ทัวร์เปรู
10. สัมผัสวิถีชีวิตชนพื้นเมือง
การได้มาเที่ยวเปรู นอกจากจะไปเที่ยวยังสถานที่สำคัญๆ แล้ว คุณยังจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชนพื้นเมือง เพราะเปรูเป็นที่ตั้งของชุมชนพื้นเมืองมากมาย พวกเขาเหล่านั้นมีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตเป็นเอกลักษณ์ เช่น Quechua , Aymara ,Achuar , Uros ชาวพื้นเมืองบางกลุ่มอาศัยอยู่บนเกาะลอยน้ำที่ทะเลสาบติติกากา บ้างอาศัยอยู่แถบป่าอเมซอน บ้างอาศัยแถบเทือกเขาแอนดีส การได้ไปเที่ยวเปรู สัมผัสวิถีชีวิตชนพื้นเมืองแบบดั้งเดิม นับเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคน ที่กำลังมองหาเส้นทางทัวร์อันซีน ทัวร์เส้นทางแปลก ทัวร์เส้นทางอเมริกาใต้ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ขอแนะนำ ทัวร์เปรู ที่จะเป็นหนึ่งในประสบการณ์การท่องเที่ยวที่จะทำให้คุณไม่มีวันลืม โปรแกรมทัวร์เปรู อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรมทัวร์อเมริกาใต้ ที่ควบประเทศอื่นๆ มีตั้งแต่โปรแกรมทัวร์อเมริกาใต้ 11 วัน ไปจนถึง 24 วันเลยก็มี โปรแกรมทัวร์อเมริกาใต้ ก็มีให้เลือกหลายแบบ สนใจทัวร์เปรู สามารถสอบถาม พูดคุยได้กับทีมงาน ฟรีเบิร์ดทัวร์ ก่อนตัดสินใจค่ะ
- 19 October 2023 -
- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -
สนใจโปรแกรมทัวร์เปรูคลิกที่นี่
คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์
โทร.02-0488-785-6 Hotline 093-570-3000 , 085-151-1000