มอลต้า | เรื่องน่ารู้ก่อนเที่ยวมอลต้า
เอาใจนักเดินทางสายยุโรปโดยเฉพาะกับสถานที่ท่องเที่ยวทัวร์อันซีนสวยแปลกตา หากคุณเดินทางไปเกือบทั่วยุโรปแล้ว และอยากหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ยังไม่ช้ำหรือซ้ำน้อยที่สุด วันนี้ฟรีเบิร์ดทัวร์พาบินลัดฟ้าเปิดประสบการณ์ความแปลกใหม่ของยุโรปในอีกมุมมองกับการเที่ยวมอลต้า
รู้จักกับประเทศมอลต้า
มอลต้า หรือ มอลตา (The Republic of Malta) ประเทศที่เป็นเกาะที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนานกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มอลต้าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ถัดลงมาจากตอนใต้ของประเทศอิตาลี ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็กๆแต่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งหนึ่งในยุโรป มอลต้าครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษมาก่อน และได้เข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2547
แผนที่จาก google map
เมืองหลวงของประเทศมอลต้า : วัลเลตตา (VALLETTA)
ภาษาราชการของประเทศมอลต้า : ภาษามอลต้า และ ภาษาอังกฤษ
สกุลเงินประจำประเทศมอลต้า : EUR ยูโร
วีซ่าเข้ามอลต้า : กลุ่มเชงเกนเข้าได้เหมือนอิตาลี
สภาพอากาศที่มอลต้าเป็นอย่างไร? ...... เที่ยวมอลต้าช่วงไหนดี?
ฤดูหนาวของมอลต้า ระหว่างเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ช่วงนี้ของมอลต้าจะเริ่มหนาว อุณหภูมิประมาณ 9-17 องศา อุณหภูมิแถบนี้จะอุ่นกว่าฤดูหนาวในประเทศอื่นๆ ของยุโรป บางช่วงจะมีฝนตก ฤดูหนาวของมอลต้าเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเทศกาลท้องถิ่นมากมาย
ฤดูใบไม้ร่วงของมอลต้า ระหว่างเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน อุณหภูมิประมาณ 14-28 องศา
ฤดูร้อนของมอลต้า ระหว่างเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงนี้กลางวันจะยาวนานขึ้น อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ30-40องศา แดดเปรี้ยง เป็นช่วง High Season ฤดูกาลสุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวยุโรปมาเที่ยวพักผ่อนอาบแดดแบบชิวๆ ค่าที่พักโรงแรม และตั๋วเครื่องบินจะราคาสูงขึ้นด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่อยู่ในเขตประเทศร้อนอยู่แล้ว แนะนำให้ไปช่วงฤดูอื่น
ฤดูใบไม้ผลิของมอลต้า ระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม อุณหภูมิประมาณ 10-23 องศา
มอลต้ามีอะไรน่าเที่ยว?
มอลต้ามีเกาะใหญ่ๆ อยู่ 3 เกาะ คือ เกาะมอลต้า (Malta Island) เกาะโกโซ (Gozo Island) และเกาะโคมิโน (Comino Island) แต่ละเกาะก็มีของดีที่รอคอยให้นักท่องเที่ยวอย่างเราไปชื่นชม ว่าแต่มีอะไรบ้างนั้นตามฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ไปเที่ยวกันเลย
ลัดเลาะ "เที่ยวเกาะมอลต้า" (Malta Island)
เมืองวัลเลตตา (VALLETTA)
ประเดิมเมืองแรกกันด้วยเมืองหลวงของประเทศ "วัลเลตตา" เมืองนี้ต้องปักหมุดกันไว้เลยเพราะเมืองนี้ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกในปี 1980 หากมามอลต้าแล้วไม่เข้าเมืองนี้ถือว่ามาไม่ถึง
จุดแรกที่เราเห็นสะดุดตาก็คือบ้านเรือนที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปเก่าแก่ บางอาคารเก่าแก่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 สถาปัตยกรรมเหล่านี้ผสมผสานหลายๆ แขนงกันอย่างลงตัว ทั้งแบบบาโรค คลาสสิก และสมัยใหม่
ไฮไลต์และนับเป็นเอกลักษณ์ของตึกรามบ้านเรือนเหล่านี้ก็ตรงระเบียงสีสันสวยงามที่ยื่นมาจากตัวบ้าน ความสวยงามนั้นคู่ขนานไปถนนเล็กๆทอดยาวตามแนวลาดชันของเนินเขา อีกทั้งเมืองวัลเลตตายังเป็นเมืองชายฝั่งทะเลที่จอดเรือยอร์ช เรือสำราญยุโรป ที่เข้ามาเทียบท่าตลอดทั้งปีสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
เมืองวัลเลตตายังล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองเก่า และป้อมปราการโบราณขนาดใหญ่ มีเนินสูงต่ำ ตรอกซอกซอยสวยงามคลาสสิก มีหอสมุด พิพิธภัณฑ์ โบสถ์สวยๆ ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก คาเฟ่ บาร์ เรียกว่าครบจบในที่เดียว
สถานที่ต้องห้ามพลาดในเมืองวัลเลตตา
สวนบารัคคา (Barracca Garden) สวนสวยที่ครั้งอดีตเคยเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล แต่ภายหลังได้เปิดให้สาธารณชน และนักท่องเที่ยวเข้าชม ภายในสวนมีการจัดไว้อย่างสวยงามทั้งไม้ดอกไม้ประดับ น้ำพุ และซุ้มประตูต่างๆ และที่ห้ามพลาดเลยก็คือในส่วนด้านบนของสวน ท่านสามารถขึ้นไปชมวิวของอ่าวแกรนด์ฮาร์เบอร์ได้อย่างชัดเจนและสวยเต็มตา
ภาพโดย Kristina Paukshtite จาก Pexels
มหาวิหารเซนต์จอห์น (St. John’s Cathedral) มหาวิหารที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัศวินเซนต์จอห์น เพื่อเป็นเกียรติแก่อัศวินทั้งหลาย และยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความศรัทธาในคริสต์ศาสนา เชื่อกันว่าก้าวแรกที่เข้าไปในวิหารนั้นต้องเกิดความตะลึงแน่นอนด้วยโถงวิหารอันสวยงาม และการประดับประดาด้วยศิลปะต่างๆ ซุ้มประดูที่วิจิตรงดงาม เป็นภาพที่ลืมไม่ลงในชีวิตนี้แน่นอน
พระราชวังแกรนด์มาสเตอร์ (Grand Master Palace) พระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยแรกเริ่มถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นฐานบัญชาการรบของอัศวินในยุคนั้น แต่หลังจากเสร็จสิ้นสงครามจึงปรับเปลี่ยนมาเป็นพระราชวัง ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้กลายมาเป็นที่พำนักของประธานาธิบดีแห่งมอลต้า แต่ภายในก็ได้มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมบางส่วน
ภาพโดย GregMontani จาก Pixabay |
ภาพโดย Efraimstochter จาก Pixabay |
เมืองเอ็มดิน่า (Mdina) อดีตเมืองหลวงเก่าของมอลต้า ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดใหญ่ทางตอนกลางของประเทศ เมืองนี้มีฉายาว่า “The Silent city” เอ็มดิน่าเป็นเมืองที่สงบเงียบ ตึกรามบ้านช่องเป็นสไตล์บารอค ที่นี่มีโบสถ์เซนต์พอล (St. Paul’s Cathedral) วิหารที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองภายในโบสถ์ประดับตกแต่งงดงาม
ภาพโดย GregMontani จาก Pixabay
เมืองราบัต (Rabat) เมืองนี้มีความสำคัญและมีความรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน ราบัตเป็นมรดกจากอดีตที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับยุคของโรมัน และบ้านเมืองที่ได้รับอิทธิพลของหลายชนชาติ
ภาพโดย pixabairis จาก Pixabay
บลูกรอตโต (Blue Grotto) อีกหนึ่งสุดยอดความสวยงามทางธรรมชาติของเกาะมอลต้า ถ้ำบลูกรอตโตเป็นถ้ำที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของธรรมชาติมีลักษณะคล้ายกับซุ้มประตูโค้งขนาดใหญ่ ไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเลยคือ การล่องเรือเข้าไปชมความสวยงามและยิ่งใหญ่ของถ้ำ ที่นี่เราจะได้เห็นวิวของผืนน้ำทะเลสีฟ้าคราม สะท้อนแสงอาทิตย์ผ่านช่องของปากถ้ำสวยเกินบรรยาย
ภาพโดย Stephen Lammens จาก Unsplash
ลัดเลาะ "เที่ยวเกาะโกโซ" (Gozo Island)
เกาะโกโซ (Gozo Island) ตั้งอยู่เหนือเกาะใหญ่ของมอลต้า มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของมอลต้า เกาะโกโซเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักดำน้ำชอบมาทำกิจกรรมดำน้ำดูความสวยงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และไฮไลต์ที่ต้องห้ามพลาดคือ
“หน้าต่างแห่งอาซูเร่” (Azure window) ซุ้มประตูหินธรรมชาติที่เกิดจากการถูกคลื่นน้ำทะเลกระทบกัดเซาะตลอดเวลา จนทำให้มีรูปร่างเป็นโค้งคล้ายหน้าต่างเป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อเสียง ที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีย์ "Game of Thrones" อันโด่งดังอีกด้วย แต่น่าเสียดายเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2560 หน้าต่างแห่งอาซูเร่ได้ถูกพายุพัดพังถล่มตกลงทะเลเป็นที่เรียบร้อย
เกาะโกโซ ถือเป็นอีกหนึ่งเกาะในตำนาน บางตำนานจะเรียกเกาะแห่งนี้ว่า เกาะแห่งคาลิปโซ่ (Isle of Calypso) คาลิปโซ่เป็นธิดาแห่งท้องทะเล และเป็นบุตรีแห่งเทพแอตลาส หรือท่านอาจจะคุ้นชื่อคาลิปโซ่ จากภาพยนตร์เรื่อง Prirate of Carribien
ถ้ำคาลิปโซ (Calypso Cave) ที่ถ้ำแห่งนี้เราจะสามารถมองเห็นวิวของทะเลจากมุมสูงผ่านช่องว่างของถ้ำเป็นภาพวิวทะเลที่สวยงาม ยิ่งตอนที่ฟ้าเปิดและแดดออกยิ่งเพิ่มความงามเป็นหลายเท่า
วิหารกันติจา (Ġgantija Temples) วิหารเก่าแก่สร้างจากหิน โดยเชื่อว่าเป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ป้อมปราการวิคตอเรีย (Victoria Fortress) ป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยที่มอลต้าเคยถูกปกครองโดยประเทศอังกฤษ สร้างขึ้นตามชื่อพระนามของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย โดยในยุคแรกเริ่มสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิออตโตมัน ปัจจุบันแม้จะมีความเสียหายที่เกิดจากภัยสงครามอยู่บ้างแต่ก็ได้ถูกบูรณะแล้ว และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ จุดเด่นของที่นี่คือเราสามารถมองเห็นวิวของบ้านเมืองแห่งเกาะโกโซ และวิวของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแสนสวยจากด้านบนของป้อมปราการนี้
ภาพโดย Reuben Farrugia จาก Unsplash
วิหารทาพินู (Ta Pinu Cathedral) วิหารโรมันหลังเดี่ยวตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผาท้าลมแดดลมฝน เป็นวิหารโรมันคาทอลิกที่แต่เดิมเป็นเพียงโบสถ์หินเล็กๆ แต่เมื่อศรัทธาของผู้คนมีมากขึ้นจึงทำให้เปลี่ยนจากโบสถ์หินเล็กๆ กลายเป็นวิหารที่น่าเลื่อมใส พร้อมวิวที่งดงาม โบสถ์หลังนี้เคยมีการมาเยือนของบุคคลสำคัญถึง 2 ท่าน นั่นก็คือ พระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 และพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 14 ได้มาเยือนและมอบกุหลาบสีทองหรือ Golden Rose เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์
ภาพโดย billadelphias จาก Pixabay
วิหารเซนต์จอร์จ (St. George’s Basilica Victoria) โบสถ์ทองคำแห่งโกโซ
ลัดเลาะ "เที่ยวเกาะโคมิโน" (Comino Island)
สถานที่เที่ยวไฮไลท์ของเกาะนี้จะเป็น บลูลากูน อ่าวที่มีหาดทรายสีขาวสะอาด ทะเลสีฟ้าใส กิจกรรมหลักๆ คือ เล่นน้ำทะเล อาบแดด
ภาพโดย D10Dys จาก Pixabay
แม้ว่าการเที่ยวมอลต้ายังไม่เป็นที่นิยมมากนักสำหรับคนไทย นับว่าเป็นประเทศอันซีน(unseen) ทัวร์อันซีน ทัวร์นอกกระแสแต่มีดีหลายเรื่อง อยากแนะนำให้ได้ไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต เพราะมอลต้านับได้ว่าเป็นดาวเด่นแห่งท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเลยก็ว่าได้ ....ฟรีเบิร์ด ทราเวิล มีโปรแกรมทัวร์มอลต้า เชิญชวนให้ท่านได้เปิดประสบการณ์สุดพิเศษไปกับเส้นทางนี้ รับรองได้รับความประทับใจพกติดตัวกลับเมืองไทยแน่นอน
- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -
สนใจโปรแกรมทัวร์ต่างประเทศคลิกที่นี่
คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์
โทร.02-0488-785-7 Hotline 085-151-1000 , 094-782-6888 และ 093-570-3000