เนเธอร์แลนด์ | 9 เรื่องเล่าดินแดน กังหันลม
1. พระเจ้าสร้างโลก แต่ชาวดัตซ์สร้างเนเธอร์แลนด์
“God created the world but the Dutch created the Netherlands”
พระเจ้าสร้างโลก แต่ชาวดัตซ์สร้างเนเธอร์แลนด์
เนเธอร์แลนด์(Netherlands) เป็นประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำเป็นอย่างมาก มีแนวชายฝั่งยาวกว่า 450 กิโลเมตร ติดกับทะเลเหนือ มีแม่น้ำสำคัญไหลประเทศผ่าน 3 สาย คือ แม่น้ำไรน์(Rhine River) แม่น้ำมิวส์ (Meuse River) แม่น้ำสเคิร์ด(Scheldt) พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ราบลุ่ม 1 ใน 3 ของพื้นที่ในประเทศเนเธอร์แลนด์อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เนเธอร์แลนด์(Netherlands) แปลว่าแผ่นดินต่ำ
ในอดีตของเนเธอแลนด์เกิดน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง ชาวดัตช์ต่อสู้ดิ้นรนกับน้ำมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ พยายามเรียนรู้ที่จะอาศัยอยู่กับพื้นที่น้ำท่วมได้เป็นอย่างดี พยายามเข้าใจวิถีแห่งธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในขณะเดียวกันชาวดัตช์ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาพื้นที่ค้นหาวิธีการจัดการน้ำอย่างเหมาะสมทำงานร่วมกับผืนน้ำ หาวิธีแก้ปัญหาที่ชาญฉลาดเพื่อขจัดภัยพิบัติในพื้นน้ำท่วมซ้ำซาก โดยการคิดค้นการใช้กังหันลมในการสูบน้ำออก สร้างเขื่อนเพื่อกั้นน้ำลดระดับน้ำ สร้างทางระบายน้ำ สร้างสถานีสูบน้ำจำนวนมาก ชาวดัตช์พึ่งพาน้ำมาโดยตลอดในทำการเกษตร การค้า การขนส่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวดัตช์ต้องเรียนรู้ในการจัดการน้ำและในการที่จะอยู่กับน้ำอย่างไร้อุปสรรค
ดังที่ได้กล่าวว่าพื้นส่วนหนึ่งของเนเธอร์เป็นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นจำเป็นที่ต้องเพิ่มพื้นที่ดินต้องมีการการถมที่ดินเพื่อทำการเกษตร สร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจึงมีการสร้างทุกอย่างขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ถนนหนทาง ลำคลองโดยเฉพาะคลอง ชาวดัตช์สร้างขึ้นเพื่อการคมนาคม ขนส่ง การชลประทาน เป็นมรดกอันน่าทึ่ง ในอดีตชาวดัตซ์ได้มีการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระเบียบด้วยตนเองมาตั้งแต่โบราณ
2. มหัศจรรย์...กังหันดัตช์
กังหันลม(Windmill) เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับธรรมชาติตั้งแต่สมัยโบราณเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน ชาวดัตช์อาศัยอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประสบปัญหาน้ำท่วมมาตั้งแต่อดีตกาล กังหันลมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาวดัตช์ การใช้กังหันลมของชาวดัตช์เริ่มเมื่อศตวรรษที่ 12 เพื่อการจัดการน้ำ การระบายน้ำ ควบคุมการไหลของน้ำ และใช้วิดน้ำออกสู่ทะเลป้องกันน้ำท่วม
ชาวดัตช์ได้พัฒนากังหันลมอย่างต่อเนื่อง ได้พยายามปรับปรุงเทคโนโลยีให้ใช้งานได้เหมาะสมทำงานได้หลากหลาย และทนทาน มีกลไกอัจฉริยะ ระบบล้อฟันเฟือง
กังหันลม(Windmill) สิ่งประดิษฐ์อันชาญฉลาดของชาวดัตช์ในสมัยก่อนนอกเหนือจากใช้จัดการกับน้ำแล้ว กังหันลมของชาวดัตช์ ยังใช้บดเมล็ดพืช ใช้ในการเลื่อยไม้ทำให้เกิดกระบวนการผลิตต่างๆเพิ่มเติมเป็นพลังงานสำคัญสำหรับภาคเกษตรในอดีต เนื่องจากทำงานได้หลายอย่าง ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวดัตช์เอาชีวิตรอดในประเทศราบลุ่มต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
กังหันลมในประเทศเนเธอร์แลนด์ นับเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่น่าตื่นตาตื่นใจ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ สำหรับสถานที่ชมกังหันลมที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมีอยู่ 3 แห่ง คือ
หมู่บ้านกังหันลมเมืองซาน สคานซ์(Zaanse Schans) เป็นหมู่บ้านกังหันลมที่โด่งดังมาก ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวดัตช์ดั้งเดิม
ภายในหมู่บ้านนี้เราจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของกังหันลม และร้านขายของ
กังหันลมที่เมืองสคีดัม(Schiedam) ที่เมืองนี้มีกังหันลมที่สูงที่สุดในโลก และยังได้รับการบูรณะไว้เป็นอย่างดี
หมู่บ้านกังหันคินเดอร์ไดจ์(Kinderdijk) ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวดัตช์อยู่ทางใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ อยู่ห่างจากเมืองรอตเธอร์ดัม(Rotterdam) เพียง 16 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1740 ที่นี่เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย คือ เลค(Lek) และ นอร์ด(Noord) หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นบนแอ่งน้ำ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี มีกังหันลมโบราณเก่าแก่ทั้งหมด 19 หลัง สมัยก่อนสร้างขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วมเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญแสดงถึงระบบจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก หรือองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ในปีค.ศ. 1997
ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกที่เราจะได้เห็นกังหันลมจำนวนมากในพื้นที่ไม่ใหญ่โตนัก
ได้รู้ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับวิธีการทำงานของกังหันลม และวิถีชีวิตของคนดูแลกังหัน ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนกันยายนจะมีการเปิดไฟในตอนกลางคืนเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะเข้ามาชม
ปัจจุบันกังหันลมไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักแบบเดิมอีกต่อไปแล้วเนื่องจากมีเทคโนโลยีแบบใหม่เข้ามา แต่กังหันลมของชาวดัตช์ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในสภาพดีเพื่อเป็นประจักษ์พยานในความพยายามในอดีตของชาวดัตช์ในการมีชีวิตอยู่ร่วมกับสายน้ำ
3. Clogs Dutch เป็นมากกว่ารองเท้าไม้
รองเท้าไม้ดัตช์(Clogs Dutch) ศิลปะสุดยูนีคสำหรับชาวดัตช์ที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในอดีตผู้ที่ใช้รองเท้าไม้ คือ เกษตกร ชาวประมง พนักงานโรงงาน ช่างฝีมือ รองเท้าไม้ทำจากไม้เนื้อแข็งแตกยาก กันน้ำ ช่วยในการดูดซับเหงื่อ สวมใส่เคลื่อนไหวได้ดีในพื้นดินที่เปียกชื้น ทำโดยช่างฝีมือดีพิถีพิถันในการแกะไม้
ศิลปะการทำรองเท้าไม้ได้มีการปรับปรุงพัฒนาไปตามกาลเวลา ปัจจุบันเครื่องจักรได้เข้ามามีบทบาทในการผลิต เพื่อเพิ่มเติมลวดลายแต่งแต้มสีสันให้ดูสวยงามมากขึ้น นักท่องเที่ยวพบเห็นการผลิตรองเท้าไม้แบบดั้งเดิมได้ที่ “Kooijman Souvenirs & Clogs Wooden Shoe Workshop” เมืองซานสคานซ์(Zaanse Schans)
วัฒนธรรมการทำรองเท้าไม้ถือเป็นอัตลักษณ์ของชาวดัตช์ที่ยังคงมีมาจวบจนถึงปัจจุบันอาจจะพบเห็นชาวบ้านในชนบทสวมใส่บ้าง ในปัจจุบันชาวดัตช์ที่อยู่ในเมืองไม่นิยมสวมใส่รองเท้าไม้กันแล้ว หรืออาจจะพบเห็นบ้างประปรายสำหรับพนักงานขายของในร้านขายของที่ระลึกสวมใส่พร้อมชุดพื้นเมือง
นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่มาเที่ยวเนเธอร์แลนด์ไม่พลาดที่จะซื้อกลับเป็นของที่ระลึก รองเท้าไม้ดัตช์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับดีไซน์เนอร์ชื่อดังชาวดัตช์ Viktor & Rolf ได้ออกแบบคอลเลคชั่นใบไม้ร่วงปี 2007 “High heeled Dutch” (รองเท้าไม้ส้นสูงแบบดัตช์) และคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2021 ของแบรนด์หรู Hermes ออกแบบคอลเลคชั่นเป็นรูปทรงรองเท้า Dutch clogs ทำด้วยหนัง
ได้ทราบเรื่องราวของรองเท้าไม้กันแล้วหากมีโอกาสได้ไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์ อย่าลืมแวะซื้อรองเท้าไม้กลับมาเป็นของที่ระลึกกันด้วยนะคะ คลิกอ่าน รู้จักกับรองเท้าไม้ของฝากจากเนเธอร์แลนด์
4. คนรักชีสต้องร้องกรี๊ด(Dutch Cheese)
สำหรับชาวดัตช์ ชีสไม่ใช่แค่ชีสที่เป็นอาหารยอดนิยมที่นำมาบริโภค และนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารเท่านั้น แต่หมายถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิต ประเพณี การผลิตชีสของชาวดัตช์มีมาตั้งแต่ยุคกลาง กรรมวิธีการผลิตมีมาแต่ดั้งเดิม
หุบเขาแห่งชีส(Cheese Valley) เป็นพื้นที่เล็กๆที่มีเสน่ห์ ประกอบด้วย 4 ภูมิภาค เกาดา(Gouda) , โบเดกราเวน-ริว, วิก(Bodegraven Reeuwijk) , เวอร์เดน(Woerden) , คริมเพนเนอร์วาร์ด(Krimpenerwaard) ดินแดนแถบนี้เป็นพื้นที่เลี้ยงแม่วัวนมที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์ แม่น้ำ ทะเลสาบ มีหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นของดินที่พอเหมาะพอดีเอื้ออำนวยให้วัวที่อยู่บริเวณนี้ผลิตนมที่มีคุณภาพ หากมาเที่ยวที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิตจะเป็นช่วงที่แม่วัวพันธุ์ลายขาวดำถูกปล่อยให้มาอยู่ในทุ่งหญ้าสีเขียวอันกว้างใหญ่ เล็มหญ้า กลิ่นหญ้าสด ทิวทัศน์ชนบททำให้พื้นที่แถบนี้สวยงามน่าชมอีกแห่งหนึ่ง
นอกจากภูมิทัศน์เอื้ออำนวยสำหรับวัตถุดิบในการผลิตแล้วกระบวนการผลิตยังมีความสำคัญในการทำชีสอีกด้วยแต่ละแห่งจะมีการปรับปรุงพัฒนาการผลิตชีสอย่างต่อเนื่อง 60% ของการผลิตชีสในเนเธอร์แลนด์ผลผลิตมาจากดินแดนแถบนี้
ชีสของชาวดัตช์จึงมีหลายชนิดแต่ละชนิดมีรสชาติเฉพาะตนแตกต่างกันตามแหล่งและวิธีการ ชีสมีสีที่แตกต่างกัน สีเหลืองอ่อน เหลืองเข้ม จนถึงสีส้ม เนื้อสัมผัสแตกต่างกันไป รูปร่างชีสอัดเป็นก้อนกลม เนื่องจากในอดีตจะง่ายต่อการขนส่งด้วยการ กลิ้งขึ้นลงเรือ
ชีสที่ทำผลิตในเนเธอร์แลนด์ถือว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ Gouda Cheese และ Edam Cheese ชีสที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และเป็นสินค้าส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ เป็นชีสมีคุณภาพเยี่ยม ผลิตในบริเวณหุบเขาแห่งชีส(Cheese Valley)ที่เมืองเล็กๆ ชื่อเกาดา(Gouda) และเมืองอีดัม(Edam)
หลังจากผลิตชีสคุณภาพดีจำนวนมาก การนำชีสเข้าขายในตลาดชีส(Cheese Market) เป็นวิถีชีวิตของชาวดัตช์ที่ทำกันมาเนิ่นนาน ตลาดชีส(Cheese Market) เป็นตลาดกลางแจ้ง ใจกลางเมืองบริเวณจัตุรัสใกล้เทศบาลของแต่ละเมืองซึ่งเคยเป็นตลาดเก่าแก่สมัยโบราณมาก่อนกลายเป็นเอกลักษณ์สืบต่อกันมายาวนาน ตลาดชีสที่น่าสนใจมีด้วยกัน 5 เมือง คือ เมืองเวอร์เดน(Woerden) เมืองเกาดา(Gouda) เมืองอัลค์มาร์(Alkmaar) เมืองอีแดม(Edam) เมืองฮอน(Hoorn) แต่ละแห่งเป็นตลาดค้าชีสเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 บรรยากาศตลาดชีสกลางแจ้งล้อมรอบด้วยตึกเก่าแก่โบราณ ตลาดชีสจะมีขึ้นในเดือนเมษายน -กันยายน ของทุกปีแล้วแต่เมือง มีเกษตรกรที่ผลิตชีสเอง พ่อค้าแม่ค้าที่เป็นคนกลางนำผลิตภัณฑ์ของตนมาจำหน่าย และประมูลขายกันสดๆ ชีสก้อนกลมสีเหลือง ส้ม วางซ้อนเรียงกันมีหลายขนาดเล็กใหญ่ มีผลิตภัณฑ์ชีสวางขายในหลายรูปแบบให้เราได้เดินเล่น เที่ยวชิม
5. พิพิธภัณฑ์ล้ำค่า...น่าเยือน
วิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการทำความรู้จักกับประเทศเนเธอร์แลนด์ไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่าการทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง ผ่านการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีอยู่มากมาย ชาวดัตช์ให้ความสำคัญกับศิลปะเป็นอย่างมากเชื่อว่าศิลปะนำมาซึ่งจินตนาการ
การได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติชาวดัตช์ในอดีตจนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจปัจจุบันมรดกทางวัฒนธรรมของเนเธอร์แลนด์ปรากฎออกมาในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ และหอศิลป์จำนวนมาก แม้ว่าเป็นประเทศเล็กๆแต่พิพิธภัณฑ์ และหอศิลปะแสดงงานศิลปะที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับทั่วโลกมีการนำเสนอศิลปะในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ภาพวาด จิตรกรรม วิถีชีวิต เช่น พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ(Van Gogh Museum) ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด เราจะได้พบกับผลงานที่ยิ่งใหญ่ของวินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ , พิพิธภัณฑ์เมาริทเฮาส์(Mauritshuis) , พิพิธภัณฑ์บ้านแอนน์ แฟรงค์(Anne Frank House) สถานที่แห่งความทรงจำของ แอนด์ แฟรงค์
พิพิธภัณฑ์ Rijksmuseum ที่นี่จะจัดแสดงงานศิลปะ งานหัตถกรรม , พิพิธภัณฑ์บ้านเร็มบรันต์(Rembrandt House Museum), พิพิธภัณฑ์ไฮเนเก้น(Heineken Experience), พิพิธภัณฑ์กังหันลม De kat(Windmill Museum De Kat) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ในหมู่บ้านกังหันลมเมืองซาน สคานซ์(Zaanse Schans)
พิพิธภัณฑ์เทย์เลอร์(Teylers Museum), พิพิธภัณฑ์เซ็นทรัล(Central Museum), พิพิธภัณฑ์มิฟฟี่(Miffy Museum), พิพิธภัณฑ์ชีส(Cheese Museum)
6. วัฒนธรรมดอกไม้...วิถีชาวดัตช์
แม้ว่าการชมกังหันลม การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ การขี่จักรยาน การชิมชีส การล่องเรือชมบ้านเรือน สิ่งเหล่านี้เป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ไฮไลท์อย่างหนึ่งของการเที่ยวเนเธอร์แลนด์ที่ต้องอาศัยฤดูกาลเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลินั่นก็คือ ความดาษดาของดอกไม้ที่จะแข่งกันบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งสร้างสีสันอย่างน่าอัศจรรย์
ดอกไม้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนชาวดัตช์ วัฒนธรรมการปลูกดอกไม้ฝังรากลึกในสายเลือดชาวดัตช์มาช้านาน ชาวดัตช์พัฒนาการปลูกดอกไม้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ภูมิอากาศของเนเธอร์แลนด์เหมาะกับดอกไม้หลากหลายพันธุ์
ช่วงฤดูกาลดอกไม้บานเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ ฟาร์มต่างๆ จะปลูกลิลลี่ กุหลาบ กล้วยไม้ ทานตะวัน นาร์ซีสซัส เจอเรเนียม แดฟโฟดิล ไฮยซิน และดอกไม้อื่นๆมากมาย และดาวเด่นของเนเธอร์แลนด์ คือ ดอกทิวลิป ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก อากาศเย็นสบายทำให้เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ปลูกทิวลิปได้ดีที่สุด ดินในที่ลุ่มน้ำชุ่มและมีการระบายน้ำอย่างต่อเนื่องทำให้ทิวลิปเจริญเติบโตได้ดี หากมาในช่วงฤดูดอกไม้บาน ประมาณปลายเดือนมีนาคม - กลางเดือนพฤษภาคม ทุ่งทิวลิปจะผลิบานเป็นประกายสีสันหลากหลายทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เปลี่ยนพื้นที่ส่วนใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ให้เป็นทะเลดอกไม้
พื้นที่ปลูกดอกไม้หลักของเนเธอร์แลนด์อยู่ทางตอนใต้เมืองฮาร์เล็ม(Haarlem) และเมืองอัลคมาร์(Alkmaar) ปลูกเพื่อส่งออก และขายในประเทศ ดอกไม้จากเนเธอร์แลนด์ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดี นอกเหนือจากได้ตื่นตาตื่นใจกับท้องทุ่งดอกไม้แล้ว เรายังสามารถพบเห็นดอกไม้หลายหลากพันธุ์ได้ที่งานเทศกาลดอกไม้ที่จัดขึ้นทุกปีที่สวนเคอเคนฮอฟ(Keukenhof) เมืองลิซเซ่(Lisse)
เทศกาลดอกไม้ที่สวนเคอเคนฮอฟ(Keukenhof) เป็นเทศกาลดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งที่จะได้เห็นทิวลิปหลากหลายชนิด หลายสีหลายพันธุ์ การเดินชมดอกไม้ในสวนให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินชมงานศิลปะกลางแจ้งที่แสนเพลิดเพลิน ดังนั้นหากถามว่าไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์ช่วงไหนดี ช่วงปลายเดือนมีนาคม - พฤษภาคม เป็นช่วงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาชมความงามของดอกไม้ที่เบ่งบานที่สุด คลิกอ่าน Keukenhof ความอลังแบบสวยๆที่เนเธอร์แลนด์
อีกหนึ่งกิจกรรมที่จะได้ชื่นชมกับความงามของดอกไม้พร้อมกับการทำความรู้จักวัฒนธรรมชาวดัตช์ได้ดีขึ้นคือการเดินเที่ยวชมตลาดดอกไม้ในเนเธอร์แลนด์ เช่น ในเมืองอูเทรช(Utrecht) มีตลาดดอกไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ และตลาดดอกไม้บลูเมนมาร์ค(Bloemenmarkt) กรุงอัมสเตอร์ดัม ตลาดดอกไม้ริมน้ำเลื่องชื่อตั้งแต่สมัยอดีตเรียงรายไปด้วยร้านค้าขายดอกไม้สดตลอดแนวมีดอกไม้หลากหลายพันธุ์กลิ่นหอมขจรขจายในทุกฤดูกาล เราสามารถหาซื้อเป็นแบบช่อหรือซื้อเดี่ยวได้ มีขายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ หน่อพันธุ์ไม้ต่างๆ นำไปปลูกที่บ้าน ชุดประดับตกแต่ง สินค้าต่างๆในรูปดอกไม้ ตลาดนี้เปิดตลอดทั้งปี
ช่วงฤดูหนาวตลาดจะเปลี่ยนเป็นโทนสีเขียวแดงพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่จะขายต้นคริสตมาสของประดับตกแต่งตามเทศกาล ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ดอกไม้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวดัตช์ และเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศเนเธอร์แลนด์ มีการประมูลดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก "Floraholland" หรือที่บางคนเรียกว่า “วอลล์สตรีทแห่งดอกไม้”(The Wallstreet of Flowers) ที่เมืองอัลส์เมียร์(Aalsmeer) ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัมเพียง 30 นาที เป็นที่รวมของผู้ซื้อผู้ขาย ส่งดอกไม้ทั่วทุกมุมโลกที่ใหญ่ที่สุดมีการประมูลซื้อขายดอกไม้ ดอกไม้มากกว่าหลายล้านดอกจากทั่วทุกมุมโลกถูกประมูลกันด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่รวดเร็วและทันสมัย ระบบรางระบบเคลื่อนย้ายขนส่งมีความทันสมัย
ดอกไม้สด แม้จะสวยงามเพียงใดก็ย่อมมีวันเหี่ยวเฉา ชาวดัตช์ต้องการเพลิดเพลินกับดอกไม้ตลอดเวลา ดังนั้นบางส่วนจึงออกมาในรูปแบบงานศิลปะภาพวาดต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีดอกไม้เป็นส่วนประกอบเสมือนดอกไม้บานอยู่ในหัวใจชาวดัตช์ทุกนาที แม้กระทั่งวินเซ้นต์ เวนโกะ(Vincent van Gogh) จิตกรชื่อดังชาวดัตช์ยังตอกย้ำความผูกผันของชาวดัตช์ที่มีต่อดอกไม้
วินเซ้นต์ เวนโกะ(Vincent van Gogh) เริ่มวาดภาพดอกไม้ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1886 เป็นภาพดอกทานตะวันรวมอยู่กับดอกไม้อื่นในกระถาง และหลังจากนั้นได้มีการวาดภาพโดยเน้นดอกทานตะวันมากขึ้น โดยวินเซ้นต์ เวนโกะ(Vincent van Gogh) ต้องการให้ดอกทานตะวันเป็นสัญลักษณ์ทางศิลปะประจำตัวของเขาดังที่กล่าวไว้ว่า "The sunflower belongs to me, it is my personal artistic signature"
7. ชาติของการปั่นจักรยาน(The Nation of Cycling)
เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการใช้จักรยาน เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่จักรยานเข้ามามีบทบาทในสังคมและวัฒนธรรมของชาวดัตช์ จักรยานเป็นยานพาหนะที่เข้าได้ถึงทุกคนลดความแออัดบนท้องถนน ลดมลภาวะ รัฐบาลได้พยายามพัฒนาระบบการใช้จักรยานบนท้องถนน โดยสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยให้ผู้คนหันมาใช้จักรยาน
เลนจักรยานที่ประเทศเนเธอร์แลนด์จะไม่เหมือนที่ใดในโลก เลนที่นี่จะมีขนาดใหญ่ขี่สวนกันได้ แยกออกเลนรถยนต์ และเลนมอเตอร์ไซด์อย่างชัดเจนมีไฟจราจรสำหรับจักรยานยนต์ ผิวถนนราบเรียบ มีเส้นทางจักรยานทั้งใต้ดิน และบนดิน เลนลอยฟ้า กระทั่งบนสะพาน สร้างสถานที่ให้จอดรถจักรยานบางที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ จุดจอดจักรยานติดกับสถานนีรถไฟ ท่าเรือ บางแห่งสามารถจอดจักรยานได้มากถึงสองหมื่นคัน เปิดให้บริการทั้งวัน มีระบบช่วยหาจุดจอดอัตโนมัติ
ด้วยการพัฒนาระบบวางผังเมืองอย่างดีเอื้ออำนวยในการใช้จักรยานทำให้วิถีชีวิตประจำวันของชาวดัตช์ทุกเพศทุกวัยเดินทางด้วยจักรยาน ผู้คนเติบโตมาจากการปั่นจักรยานเพื่อเดินทางไปทำงาน โรงเรียน ท่องเที่ยว การขี่จักรยานของชาวดัตช์จะปฎิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเพราะหากผิดกฎจราจรจะถูกปรับค่อนข้างสูง
เส้นทางหลายแห่งมีการพัฒนาเพื่อรองรับให้เหมาะสมกับการขี่จักรยานเพื่อการท่องเที่ยวปั่นชิวๆชมวิว การได้เดินทางเที่ยวเนเธอร์แลนด์วิธีที่ดีอย่างหนึ่งที่จะได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมของชาวดัตช์ได้มากขึ้นคือการขี่จักรยาน จักรยานจึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญเฉกเช่นเดียวกับกังหันลม และดอกทิวลิป
8. เนเธอร์แลนด์ผสมผสานเก่า ใหม่ ได้อย่างลงตัว
เนเธอร์แลนด์(Netherlands) เป็นประเทศไม่ใหญ่มากนัก แต่เนเธอร์แลนด์สามารถผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตดั้งเดิม ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม กับความทันสมัย ความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคใหม่ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว
อัมสเตอร์ดัม(Amsterdam) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่มีความเป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอดีตได้ถูกผสมผสานด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่มีความร่วมสมัยค่อนข้างมาก เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บรรดาคลองที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีคลองกว่า 165 แห่ง คลองเล็กคลองน้อยทอดยาวตัดกับเส้นถนนต่างๆ ทัศนียภาพของลำคลอง ตึกรามอาคารเก่าแก่คลาสสิคเปี่ยมเสน่ห์ทรงสูงหน้าแคบแบบดั้งเดิมขนาบสองฝั่งคลอง การล่องเรือหลังคากระจกจะทำให้ได้สัมผัสถึงความเชื่อมโยงผูกพันของผู้คน ลำคลอง และสายน้ำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของชาวดัตช์
ในเวลาต่อมาประชาชน และรัฐบาลได้ร่วมมือกันมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในเมืองอัมสเตอร์ดัมเองบางพื้นที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมเก่าแก่เอาไว้ คงความร่มรื่นของต้นไม้ในเขตพื้นที่สาธารณะตามแนวถนน และแนวคลองเดิม แต่ได้มีการพัฒนาการวางผังเมืองให้เป็นระเบียบ และทันสมัยมากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้น เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานเป็นจุดชาร์จพลังงานกระจายตามจุดต่างๆ ระบบขนส่งวางโครงข่ายอย่างเป็นระเบียบทั้ง รถราง รถบัส คลอง มีจุดจอดรถยนต์ และจักรยานขนาดใหญ่ที่สามารถเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวก ลดความแออัด และมลภาวะได้เป็นอย่างดี กรุงอัมสเตอร์ดัมมีความทันสมัยมากขึ้นแต่ยังแฝงรากเหง้าของวิถีชีวิตแบบเก่าเอาไว้
เสน่ห์อีกอย่างของเนเธอร์แลนด์(Netherlands) คือบ้านเรือนเก่าแก่ของชาวดัตช์มีลำคลองทอดยาวอย่างเมือง Giethoorn หมู่บ้านชาวดัตช์เล็กๆที่มีคลอง และสะพานเล็กๆมากมายไม่มีถนนในเขตเมืองเก่า สงบร่มเย็น มีบ้านหลังคามุงจากที่มีเสน่ห์ บางหลังก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเขียวขจีทั้งหลังคา มีสวนขนาดเล็กที่ได้รับการดูแลอย่างดี ทุกบ้านปลูกดอกไม้ต้นไม้สวยงามสบายตา
คลิกอ่าน เที่ยวหมู่บ้านกีธูร์น หมู่บ้านไร้ถนนในเนเธอร์แลนด์
ในขณะเดียวกันเมืองอย่าง รอตเทอร์ดัม(Rotterdam) เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ เป็นเมืองท่าเรือที่ใหญ่ที่สุด เมืองการค้า เมืองอันทันสมัยตึกสูงระฟ้ามากมาย สถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ทันสมัย เมืองชอปปิงที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน เมืองศิลปะสุดฮิป สถาปัตยกรรมแนวนวัตกรรมสมัยใหม่ เนเธอร์แลนด์จึงเป็นประเทศที่มีลักษณะผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
9. ชอป ชิม เพลินของเด่น เฉพาะดินแดนดัตช์
ประเทศเนเธอร์แลนด์นอกจากมีสถานที่สวยงาม มีกังหันลม มีลำคลอง ก็ยังมีของที่ระลึกสวยๆ และของอร่อยอีกมากมาย ของอร่อยอย่างแรกที่ต้องลองก็คือ
สโตรปวาเฟิล(Stroopwafel) ขนมยอดนิยมของเนเธอร์แลนด์ ทำมาจากแป้งมีลักษณะกลม 2 ชิ้นประกบกันมีลายเป็นตารางเหมือนรังผึ้ง ตรงกลางสอดไส้ด้วยคาราเมล ในเมืองไทยก็หากินได้ไม่ยาก แต่เมื่อได้ไปเนเธอร์แลนด์ก็ต้องไม่พลาดที่จะลองชิมStroopwafelจากต้นตำหรับ
เบียร์ไฮเนเก้น ตามเมืองเล็กๆของประเทศเนเธอร์แลนด์จะมีโรงเบียร์เกือบทุกแห่ง บางแห่งมีโรงกลั่นเบียร์ตั้งแต่สมัยโรมันในอดีต และเบียร์สัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกรวมทั้งไทยก็คือ เบียร์ยี่ห้อไฮเนเก้น เบียร์ขวดสีเขียวกับดาวสีแดงโดดเด่น ที่มีประวัติความเก่าแก่มากกว่า 150 ปี ต้นกำเนิดของเบียร์ไฮเนเก้นเกิดจากโรงเบียร์เล็กๆ ในกรุงอัมสเตอร์ดัม โดย เคราร์ด อาดรียาน ไฮเนอเกิน ที่ไปซื้อกิจการมาเมื่อปี ค.ศ. 1864 ต่อมาได้ขยายกิจการ ผลิตขายทั้งในประเทศและส่งออกจนมีชื่อเสียงโด่งดัง
รองเท้าไม้ สัญลักษณ์หนึ่งของชาวดัตช์ ทำออกมาในรูปแบบทั้งเป็นรองเท้าไม้ขนาดเท่าจริง ขนาดเล็ก พวงกุญแจ ของตั้งโชว์
ดัตช์ชีส(Dutch Cheese) ของเด่นขึ้นชื่อของเนเธอร์แลนด์ ชีสเนเธอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ มีชื่อเสียงดังไปทั่วโลก และนับเป็นสินค้าเกษตรที่ส่งออกขายเป็นอันดับต้นๆของโลก ชีสของเนเธอร์แลนด์มีให้เลือกมากมายหลากหลายชนิด ชาวเนเธอร์แลนด์กินชีสกันแทบจะทุกมื้อ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ จะชื่นชอบกับการกินชีสขนาดนั้นไหมก็ต้องลองกันดู
Delft Blue เครื่องปั้นดินเผาสีขาวน้ำเงินผลิตในแถบเมืองเดลฟ(Delft) Delft Blue เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงดังระดับโลก ผลิตมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในอดีตเป็นที่นิยมมากในหมู่ครอบครัวร่ำรวย Delft Blue ไม่ได้ทำมาจากดินเหนียวพอร์ซเลนทั่วไป แต่ทำมาจากดินเหนียวที่เคลือบด้วยดีบุกหลังจากเผาแล้ว เรามักจะเห็น Delft Blue ทำออกมาในรูปแบบ จาน แก้ว แจกัน หรือของที่ระลึก ตุ๊กตาคู่จูบกัน เป็นต้น
กังหันลม อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ทำให้เรานึกถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ กังหันลมถูกทำเป็นของที่ระลึกในรูปแบบต่างๆ บ้างเป็นของวางตกแต่งบ้าน เป็นแม่เหล็กติดตู้เย็น เป็นพวงกุญแจ เป็นลวดลายอยู่บนผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ผลิตภัณฑ์ต่างๆของเนเธอร์แลนด์มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร ชาวดัตช์พยายามสร้างจุดเด่นอันเป็นอัตลักษณ์ขึ้นมาให้ปรากฎในรูปแบบต่างๆ เมื่อมีโอกาสเดินทางไปถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ อย่าพลาดซื้อกลับมาเป็นของฝากของที่ระลึกกันนะคะ แม้ว่าเนเธอร์แลนด์จะมีระบบคมนาคมสะดวกสบาย เป็นประเทศที่ปลอดภัย แต่หากอยากเดินทางไปโดยไม่ต้องกังวลอะไรมากก็สามารถเลือกเดินทาง ทัวร์เนเธอร์แลนด์ไปกับ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ได้เลยค่ะ
- 20 October 2020 -
- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -
สนใจโปรแกรมทัวร์เนเธอร์แลนด์คลิกที่นี่
คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์
โทร.02-0488-785-7 Hotline 085-151-1000 , 094-782-6888 และ 093-570-3000