มองโกเลีย | มอง...มองโกเลีย(Mongolia) 5 ประสบการณ์สุดยูนีคที่ชวนให้คุณมาสัมผัส
มองโกเลีย(Mongolia) ดินแดนลึกลับ ตั้งอยู่ระหว่างเพื่อนบ้านใหญ่อย่างจีนและรัสเซีย เป็นหนึ่งในประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มองโกเลียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 18 ของโลก ประชากรครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวงอูลานบาตอร์(Ulaanbaatar) 1 ใน 3 เป็นชนเผ่าเร่ร่อนพื้นเมืองแบบดั้งเดิมเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ยาวนาน บางท่านคงได้คุ้นเคยกับชื่อขุนศึกนักรบผู้ยิ่งใหญ่ชาวมองโกเลียนาม "เตมูจิน"(Temujin) หรือที่รู้จักกันในนาม “เจงกีสข่าน” (Genghis Khan) เขาเป็นผู้ที่รวบรวมชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งเดียว และแผ่ขยายอำนาจจนทำให้จักรวรรดิ์มองโกลเคยเป็นจักรวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การเรียนรู้ชีวิตครอบครัวคนท้องถิ่น ชื่นชมกับวัฒนธรรมที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก สัมผัสประสบการณ์การต้อนรับอย่างอบอุ่น และรับประทานอาหารในแบบที่คุณไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ถือเป็นประสบการณ์คุ้มค่าในชีวิต
มองโกเลีย(Mongolia) โดดเด่นในเรื่องทัศนียภาพที่สวยงามน่าทึ่งทั้งในยามตะวันตกดิน และตะวันขึ้น ทำให้นักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่นนาม ฮารูกิ มูราคามิ(Haruki Murakami) ได้เคยเขียนเกี่ยวกับมองโกเลียไว้ว่า
“Dawn in Mongolia was an amazing thing”
“รุ่งอรุณในมองโกเลียเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์”
ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ชวน มอง...มองโกเลีย(Mongolia) กับเรืองราวของ 5 ประสบการณ์สุดยูนีคที่ชวนให้คุณมาสัมผัส ความงามอันเป็นเอกลักษณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในมองโกเลีย
ชมมหัศจรรย์ความงาม แห่งดินแดนนภาสีคราม “Land of the blue sky”
มีไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้ที่จะมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร “มองโกเลีย”(Mongolia) เป็นประเทศหนึ่งบนโลกใบนี้ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้แสวงหาความเป็นยูนีคไม่เหมือนที่ใด “มองโกเลีย”(Mongolia) คือฝันที่เป็นจริงสามารถตอบโจทย์ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สัมผัสความกว้างใหญ่ไพศาลของดินแดนนักรบผู้ยิ่งใหญ่ เจงกีสข่านอยู่ในแถบมองโกเลียตะวันออก ภาพทิวทัศน์ทุ่งหญ้าสเตปป์อันกว้างใหญ่ไร้ต้นไม้สุดสายตาที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งมีหญ้าหลากหลายพันธุ์ ภาพอาชากลางทุ่งหญ้าสีเขียว ฝูงสัตว์ แพะ แกะ อูฐ สัตว์แต่ละชนิดต่างมีเฉดสีความงามที่แตกต่างกัน หากินกันอย่างอิสระดูแลโดยชนเผ่าเร่ร่อนกระจายอยู่ตามทุ่งหญ้าย้ายถิ่นฐานไปมา ด้านมองโกเลียตะวันตกเฉียงเหนือติดพรมแดนรัสเซีย มีแม่น้ำ ทะเลสาบ ธารน้ำแข็ง มีชนเผ่าTsaatan ชนเผ่าเล็กๆ ที่เลี้ยงกวางเรนเดียร์จะอพยพไปเรื่อยๆ เพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ให้กับกวางเรนเดียร์ กวางเรนเดียร์ที่เลี้ยงจะใช้ประโยชน์เพื่อรีดนมแล้วนำมาต้มดื่ม รวมไปถึงการนำมาทำชีส
มองโกเลียตอนกลางและเหนือ มีธรรมชาติงดงามมีอุทยานแห่งชาติ ป่าสนเขียวชะอุ่ม ดอกไม้ป่ามากมายสวยงามในฤดูใบไม้ผลิ ช่วงที่เหมาะในการเที่ยวมองโกเลียส่วนใหญ่จะเป็นเดือนมิ.ย.-ส.ค. เป็นช่วงฤดูที่ทุ่งหญ้าเขียวขจีฝูงสัตว์เล็มหญ้าอย่างอ้อยอิ่ง ดอกไม้ป่าเบ่งบานบนไหล่เขา นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวมองโกเลียสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมกลางแจ้งได้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ขี่ม้าข้ามทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์อันกว้างใหญ่ เดินป่า ปั่นจักรยาน
ความงดงามของแต่ละภูมิภาคของมองโกเลียจะทำให้หัวใจเบิกบาน เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่สุด แม้ว่าทิวทัศน์บนดินจะมีสีสันแตกต่างกันไปในตามช่วงฤดูกาล แต่ทั่วทั้งมองโกเลียถูกครอบคลุมด้วยท้องฟ้าสีครามสดใส สีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ไกลสุดขอบฟ้าเหมือนกัน มองโกเลีย(Mongolia) จึงมีฉายาว่า “Land of the blue sky” เป็นสถานที่อันซีนต่างแดนที่ทำให้มองเห็นท้องฟ้าสีครามรอบด้านลึกซึ้งควรค่าแก่การมาเยือนเป็นอย่างยิ่ง
นอนกลางดิน กินกลางดาวที่ “เกอร์”(Ger)
ภาพกระโจมทรงกลมขนาดใหญ่มีหลังคาเป็นโดมตั้งอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติกระจายอยู่ตามทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในประเทศมองโกเลีย กระโจมนี้เรียกว่า “เกอร์”(Ger) มีลักษณะทรงกลมทำจากโครงไม้ คลุมด้วยชนวนที่ทำด้วยหนังสัตว์ ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว และให้ความเย็นในฤดูร้อน เกอร์(Ger) ส่วนใหญ่มีประตูบานเดียวทำจากไม้บางแห่งมีการทาสีและวาดลวดลาย ประตูส่วนใหญ่ของเกอร์(Ger) จะหันไปทางทิศใต้ซึ่งสามารถรับแสงแดดได้มากที่สุด ไม่มีหน้าต่างมีโครงตาข่ายและเสาไม้ยึดเป็นโครงสร้างกำแพงเป็นวงกลม ตรงกลางหลังคากระโจมยึดด้วยเสาขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นที่ตั้งของเตา ด้านบนมีช่องรูช่วยระบายควันที่ออกจากเตา มีปล่องไฟโผล่ขึ้นด้านบน เตาจะทำหน้าที่เป็นแหล่งความร้อนเพื่อประกอบอาหาร เกอร์(Ger)เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองเร่ร่อนชาวมองโกเลียที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นเวลายาวนาน ในอดีตชาวมองโกเลียเชื่อว่าหาก เกอร์(Ger)มีการล้อมบ้านด้วยรั้ว พวกเขาจะสูญเสียการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ เราจึงไม่พบเห็นการล้อมรั้วเพื่อแสดงอาณาเขตของแต่ละเกอร์(Ger) ที่อยู่ในมองโกเลีย
ธรรมเนียมของชาวมองโกเลียในการเข้าไปในเกอร์(Ger) ที่ควรรู้คือ ไม่ควรเดินผ่ากลางระหว่างเสาตรงกลางของเกอร์เพราะถือว่าจะโชคร้าย ผู้ที่อาศัยอยู่ในเกอร์(Ger) อยู่กันเป็นครอบครัว กิน นอน ทำอาหาร อยู่ในที่เดียวกัน อาศัยอยู่ในเกอร์(Ger) เดียวกัน ไม่มีความเป็นส่วนตัว ไม่มีฉากกั้นใดๆ การใช้ชีวิตแบบไร้ความเป็นส่วนตัวเพราะชนเร่ร่อนเชื่อว่าเป็นการสร้างความเป็นครอบครัวให้แนบแน่นขึ้น อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่คุ้นเคยสำหรับบางท่านหากต้องการพักแบบโฮมสเตย์กับครอบครัวชนพื้นเมืองแท้ๆ แต่หากไม่ต้องการพักกับครอบครัวท้องถิ่นแบบโฮมสเตย์ จะมีเกอร์(Ger) สำหรับนักท่องเที่ยวที่เรียก Ger Camp เป็นกลุ่มเกอร์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับใช้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อให้การมาพักในเกอร์(Ger) มีความเป็นส่วนตัว และมีความสะดวกสบายมากขึ้น มีเตียงนอนเล็กๆ โต๊ะ เก้าอี้นั่ง มีพื้นที่ห้องน้ำ บางแห่งมีแผงโซลาร์เซลส์เพื่อกักเก็บพลังงาน เพื่อใช้ประโยชน์ เกอร์(Ger) สามารถเคลื่อนย้ายได้ ประกอบและถอดออกได้ง่าย การเคลื่อนย้ายที่อยู่ของชนเผ่าเร่ร่อนในมองโกเลีย จะเคลื่อนย้ายประมาณ 2-3 ครั้งต่อปี โดยใช้รถบรรทุกในการย้ายเพื่อหาทุ่งหญ้าสีเขียวแห่งใหม่
การพักค้างแรมในเกอร์(Ger) ยามค่ำคืนอันเงียบสงัดกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ปราศจากมลพิษทางแสงทำให้ยามราตรีแม้จะมืดสนิท แต่สามารถมองเห็นหมู่ดาวส่องประกายเจิดจรัสเกลื่อนท้องฟ้า มหัศจรรย์เหนือคำบรรยายสมกับฉายา “ดินแดนแห่งฟ้านิรันดร์” เมื่อได้มีโอกาสมาเที่ยวมองโกเลีย ประสบการณ์การนอนกลางดิน กินกลางดาวที่เกอร์(Ger) สักครั้งในชีวิต วินาทีนั้นมันเมจิเคิลสุดๆ
มองโกลโชว์แมน กับ เทศกาลประจำชาติอันยิ่งใหญ่
เทศกาลที่มีชื่อเสียงของมองโกเลีย คือ เทศกาลนาดัม(Naadam Festival) นาดัมในภาษามองโกเลีย แปลว่า เกมส์ เทศกาลประเพณีดั้งเดิมอันทรงคุณค่าน่าอัศจรรย์ของชนเผ่าเร่ร่อน เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นทุกปีในช่วงฤดูร้อน เดือนกรกฎาคม สถานที่จัดงานจัดขึ้นบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ห่างไกลตัวเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัด เป็นการจัดแข่งขันให้ผู้ชายชนเผ่าต่างๆแข่งขันกันในกีฬาหลัก 3 ประเภทสำคัญ เช่น ยิงธนู แข่งม้า มวยปล้ำ ซึ่งเป็นกีฬาที่เชื่อมโยงอารยธรรม และสะท้อนวิถีชีวิตของชาวมองโกลในอดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวมองโกเลียผูกพันกับม้าเป็นพิเศษมายาวนาน เติบโตมาบนหลังม้าขี่ม้าได้ตั้งแต่ยังเด็ก ม้าเป็นประหนึ่งเพื่อนยากสี่ขาที่อยู่เคียงข้างบรรพบุรุษมายาวนาน การขี่ม้าจึงเป็นเกียรติยิ่งของชาวมองโกล การทดสอบทักษะแข่งขันการขี่ม้า ต้อนม้า ด้วยเทคนิคต่างๆ แข่งขันทักษะความชำนาญในการยิงธนู และแสดงความแข็งแรงในกีฬามวยปล้ำ นอกจากนั้นยังมีกีฬาประเภทอื่นๆอีกมากมาย
เทศกาลนาดัม(Naadam Festival) เป็นเทศกาลที่แสดงให้ทั่วโลกรับรู้ว่าลูกหลานเจงกีสข่านนั้นสุดยอดขนาดไหน นอกจากการแข่งขันที่สร้างสีสันแล้ว ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆอีกมากมาย การแสดงดนตรีพื้นเมือง การเต้นรำ เพลิดเพลินกับอาหารมองโกลแบบดั้งเดิม ชนเผ่าพื้นเมืองที่เข้าร่วมงานจะสวมใส่ชุด Deel ซึ่งปกติเป็นชุดที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันของชนเผ่าเร่ร่อนอยู่แล้ว แต่จะมีพิเศษขึ้นมาคือสีสันลวดลายงดงามประกอบกับหมวกที่ทำจากขนสัตว์และรองเท้าหนัง เทศกาลนาดัม(Naadam) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO) เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ในปี ค.ศ. 2010
ฟ้าจรดทราย กับทะเลทรายโกบี
ทะเลทรายโกบี(Gobi Desert) กว้างใหญ่ทอดยาวครอบลุมพื้นที่เกือบ 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ครอบคลุมตั้งแต่ภาคเหนือของประเทศจีนไปจนถึงทางใต้ของประเทศมองโกเลีย
ในประวัติศาสตร์ทะเลทรายโกบี เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าโบราณ เส้นทางสายไหม(Silk Road) อันโด่งดังในอดีต การท่องเที่ยวในทะเลทรายโกบี สามารถเที่ยวได้ทั้งฝั่งประเทศจีน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น “ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว” และฝั่งประเทศมองโกเลีย ความสวยงามของทะเลทรายโกบีก็ไม่น้อยหน้ากัน เราสามารถปีนป่ายเนินทราย หรือขี่อูฐสองหนอก อูฐ 2 หนอก เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้จะสูญพันธุ์อีกชนิดหนึ่งของโลก และเป็นหนึ่งในสัตว์หายากของโลก ส่วนใหญ่จะพบในประเทศจีน และมองโกเลีย สองหนอกของอูฐมีประโยชน์ในการกักเก็บไขมัน อูฐ 2 หนอก จึงมีความอดทนต่อพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่างกันสุดขั้ว ทั้งหนาวและร้อนได้เป็นอย่างดี
การได้ขี่อูฐ 2 หนอก จึงเป็นประสบการณ์ที่ดีในมองโกเลีย อูฐจะเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ให้เราได้ชมทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เนินทรายที่มีสายลมพัดผ่านของทะเลทรายโกบี ได้รับความนิยมเนื่องจากมีความหลากหลายทางภูมิทัศน์ ชมความงดงามของพระอาทิตย์ตก ณ ทะเลทรายโกบี สีของทรายที่เปลี่ยนไปตามแสงของดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าในทะเลทรายโกบีนั้นใสสว่างที่สุดในยามค่ำคืนสามารถเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนเป็นสถานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในการดูดาว ในฤดูหนาวทะเลทรายโกบีจะหนาวจัดถึงเกือบ -40 องศาเซลเซียส เนินทรายจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ ในขณะที่ฤดูร้อนอุณหภูมิร้อนสุดเกือบ 45 องศาเซลเซียส หากได้เดินทางท่องเที่ยวทะเลทรายโกบี เป็นประสบการณ์ที่จะกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าที่สุดของคุณอย่างแน่นอน
Train to "ทรานส์ มองโกเลีย"
การได้นั่งริมหน้าต่างรถไฟเฝ้ามองภาพวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปผ่านกระจกหน้าต่างเป็นความสุขของการเดินทางที่น่าประทับใจที่ได้รับระหว่างทาง “เส้นทางสายรถไฟทรานส์มองโกเลีย”(Trans Mongolian Railway) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเป็นเส้นทางรถไฟที่ยิ่งใหญ่ และยาวที่สุดในโลกเชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตก เส้นทางพาดผ่านรัสเซียตะวันตก สู่ตะวันออก จากเมืองมอสโคว์(Moscow) สู่เมืองวลาดีวอสต๊อค(Vladivostok) แต่ขบวนรถไฟที่โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวคือ เส้นทางรถไฟสายทรานมองโกเลีย(Trans Mongolian Railway) วิ่งจากเอเชียสู่ยุโรปผ่าน 3 วัฒนธรรม ปักกิ่ง(จีน) อูลันบาตอร์ Ulanbator(มองโกเลีย) อูลันอูเด Ulan-Ude(รัสเซีย) เส้นทางสายนี้ทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์น่าตื่นเต้นระหว่างทาง ภาพสวยงามแปลกตา ความกว้างใหญ่อันน่าทึ่งของทะเลทรายโกบี ในช่วงฤดูร้อนทิวทัศน์งดงามแสงแดดอบอุ่น ความตระการตาของทุ่งหญ้าสเตปป์อันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของชนเผ่าเร่ร่อนที่ใช้ชีวิตแบบสโสว์ไลฟ์ในเกอร์ที่ตั้งเรียงรายควบคู่กับฝูงสัตว์สลับกับความงดงามของเนินเขาที่ทอดยาว หากเดินทางฤดูหนาวมีมุมมองที่ไม่ธรรมดา อุณหภูมิลดต่ำลง บรรยากาศขาวโพลนเต็มไปด้วยหิมะ มองวิวเพลินๆ รู้ตัวอีกทีรถไฟก็ถึงที่หมายแล้ว เมื่อได้มีโอกาสมาเที่ยวมองโกเลีย การได้ใช้ชีวิตเนิบๆบนรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย หนีการท่องเที่ยวแบบจำเจ เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจจารึกไว้ในความทรงจำ เหมาะกับคำกล่าวที่ว่า “ปลายทางไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง”
เส้นทางรถไฟสายทรานส์จะมีทั้งหมด 3 เส้นทาง
1. เส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย(Trans-Siberian Railway หรือ Transsibirskaya Magistral) เป็นเส้นทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลก มีระยะทางประมาณ 9,259-9,289 กิโลเมตร เริ่มต้นจากมอสโก(Moscow) ประเทศรัสเซีย ไปสิ้นสุดที่วลาดีวอสตอค(Vladivostok) ทางตอนใต้ของไซบีเรีย(Siberia) ประเทศรัสเซีย(Russia) การเที่ยวในเส้นทางนี้เราจะนั่งรถไฟยาวจากต้นสายไปจนสุดสายเลยก็ได้ เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟแล้วมองวิวผ่านหน้าต่าง หรือจะเลือกแวะเที่ยวระหว่างทางตามเมืองต่างๆ แต่ละที่ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน และนี่คือสถานีที่รถไฟจะหยุด และเป็นไฮไลท์ของเส้นทางนี้ Moscow > Vladimir > Nizhny Novgorod > Kirov > Perm > Yekaterinburg (Sverdlovsk) > Tyumen > Omsk > Novosibirsk > Krasnoyarsk > Angarsk > Irkutsk > Baikalsk > Ulan-Ude > Chita > Birobidzhan > Khabarovsk > Vladivostok หากจะนั่งยาวตั้งแต่ต้นจนสุดสายจะใช้เวลาประมาณ 6 วัน 5 ชั่วโมง 19 นาที
2. เส้นทางรถไฟสายทรานส์แมนจูเรีย(Trans-Manchurian Railway) เส้นทางนี้เริ่มต้นที่ปักกิ่ง(ฺBeijing) ประเทศจีน ผ่าน > Shenyang > Harbin > Boketu > Manzhouli > Zabaikalsk > Borzya > Olovyannaya > Karymskoye > Chita ประเทศรัสเซีย
3. เส้นทางรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย(Trans Mongolian Railway) เส้นทางนี้เริ่มต้นจากปักกิ่ง(ฺBeijing) ประเทศจีน> รถไฟวิ่งเลียบกำแพงเมืองจีนระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร > ผ่าน Datong > ข้ามกำแพงเมืองจีน > Erlyan > Dzamin Ude > Choir > Ulaanbaatar หรือUlanbator ประเทศมองโกเลีย(Mongolia) > Darkhan > Sukhbaatar > Naushki > Dzhida > Gusinoe ozero town > Gusinoe ozero (Goose lake > Zagustay > Sayantuy > Zaudinskiy > Ulan-Ude(อูลันอูเด) ประเทศรัสเซีย(Russia)
ระหว่างทางบางสถานีรถไฟจะหยุดให้เราลงไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย เดินซื้อของได้ ซึ่งแต่ละสถานีที่หยุดจะให้เวลาไม่เท่ากัน บางสถานีก็ให้เวลา 15 นาที บางสถานีให้เวลา 30-50 นาที ไปจนถึง 3 ชั่วโมงก็มี หรือบางสถานีก็อาจจะให้เวลาน้อยจนไม่สามารถทำอะไรได้แค่ 1-5 นาที ทั้งเส้นทางที่ 2 และ 3 เราสามารถเดินทางไปต่อจนสุดสายที่ Moscow จากนั้นก็นั่งเครื่องบินจากมอสโกกลับเมืองไทยได้สบายๆ พร้อมแล้วเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปพร้อมกับฟรีเบิร์ดทัวร์ได้เลยค่ะ
- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -
สนใจโปรแกรมทัวร์เอเชียคลิกที่นี่
คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์
โทร.02-0488-785-7 Hotline 085-151-1000 , 094-782-6888 และ 093-570-3000