ซาอุ | เปิดมุมมองใหม่ หนีความจำเจ กับ 4 เมืองน่าเที่ยวซาอุดิอาระเบีย(Saudi Arabia)
ซาอุดิอาระเบีย(Saudi Arabia) หรือราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย(Kingdom of Saudi Arabia) ซาอุดิอาระเบีย เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันยาวนาน มีเมืองศักดิ์สิทธิ์อย่างเมกกะ หรือมักกะฮ์(Makkah) และเมดินา(Medina) สองเมืองที่มีความสำคัญทางศาสนาอิสลาม ในอดีตถ้านึกถึงประเทศซาอุดิอาระเบีย เราคงนึกถึงประเทศที่มีขุมน้ำมันใหญ่เป็นอันดับต้นของโลก รายได้หลักของซาอุดิอาระเบียจึงมาจากน้ำมันเป็นหลัก แต่ในปัจจุบัน ซาอุดิอาระเบียได้ปรับแผนการพัฒนาประเทศ โดยการพัฒนาเศรษฐกิจในด้านอื่น ไม่ได้มุ่งหวังรายได้ที่มาจากน้ำมันเพียงอย่างเดียว ตามวิสัยทัศน์ซาอุดิอาระเบียปี 2030(Saudi Vision 2030) ยุทธศาสตร์ระยะยาวที่เปิดตัวเมื่อไปเมื่อปี 2016 ซาอุดิอาระเบียเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมเยือน เราอาจจะนึกไม่ออกว่าซาอุดิอาระเบียมีอะไรให้เที่ยว ไปซาอุดิอาระเบียเที่ยวอะไรกัน จริงๆ แล้ว ซาอุดิอาระเบีย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม มีความมหัศจรรย์จากธรรมชาติที่ให้เราเห็นแปลกตา ซาอุดิอาระเบียมีอะไรน่าเที่ยวบ้างตาม ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ไปทัวร์ซาอุดิอาระเบียกันค่ะ
1. เมืองริยาด(Riyadh)
เรามาเริ่มต้นการท่องเที่ยวซาอุดิอาระเบียกันที่ เมืองริยาด(Riyadh) เมืองหลวง และเป็นศูนย์กลางการการท่องเที่ยวที่สำคัญของซาอุดิอาระเบีย ริยาดเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เป็นเมืองที่มีการผสมผสานระหว่างความเก่า และความใหม่ อาคารที่ทันสมัยตึกระฟ้าสูงตระหง่าน มีมรดกทางวัฒนธรรม ป้อมปราการ และพระราชวังโบราณ สำหรับใครที่ชื่นชอบการชอปปิง ริยาด(Riyadh) ก็ไม่ทำให้คุณผิดหวัง เราสามารถใช้เวลาอยู่ในกรุงริยาด ได้ตามเวลาที่มี ตั้งแต่ครึ่งวันไปจนถึงสี่วัน สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองริยาด เช่น
ป้อมปราการมัสมัค(AI Masmak Fort หรือ Masmak Fortress หรือ Masmak Palace) ป้อมปราการที่สร้างจากดินเหนียว และอิฐโคลน ตั้งอยู่ในย่านอัล-ดิราห์ ของริยาด อยู่ใกล้กับ พระราชวังอัล-ฮุกม สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1995 ป้อมปราการแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการรวมประเทศซาอุดิอาระเบีย ปัจจุบันป้อมปราการได้ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ป้อมปราการมัสมัค(Masmak Fort) เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของซาอุดิอาระเบีย ที่ตั้งตะหง่านอยู่ในย่านเมืองเก่า และเห็นได้ชัดจากทั่วเมือง
Kingdom Centre Tower(คิงดอมเซ็นเตอร์ทาวเวอร์) เป็นตึกระฟ้า สูง 41 ชั้น หนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในซาอุดิอาระเบีย คิงดอมเซ็นเตอร์ทาวเวอร์ ตั้งโดดเด่นอยู่ในเมือง ภายในอาคารมีทั้งศูนย์การค้า มีโรงแรมโฟร์ ซีซั่น ริยาดห์ แอท คิงดอม เซ็นเตอร์(Four Seasons Hotel Riyadh at Kingdom Centre) มีอพาร์ทเม้นต์ สำนักงาน ห้องประชุม ร้านอาหาร มียิม สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส และมีสะพานลอยฟ้าเชื่อมต่อหอคอยทั้งสองแห่งของคิงดอมเซ็นเตอร์ ตึกนี้จะทำให้คุณได้มองเห็นทิวทัศน์อันน่าทึ่งของเมืองจากจุดชมวิวที่สูงแห่งหนึ่งของประเทศ ทั้งในยามกลางวัน และยามค่ำคืน
หมู่บ้านมรดกโลกอัดดิรอียะฮ์(Al Diriyah) ต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกของริยาด(Riyadh) ที่นี่เป็นที่รวมของประวัติศาสตร์ และความทันสมัย ในด้านประวัติศาสตร์เพราะเป็นที่พักอาศัยของราชวงศ์โบราณ มีพิพิธภัณฑ์ Diriyah Museum ส่วนอีกด้านที่ทันสมัยก็มีทั้งร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก ที่ให้เราเดินกันเพลินๆ
Jabal Tuwaiq หรือ Tuwaiq Mountain สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เป็นหน้าผ้าสูงอยู่ห่างจากเมืองริยาดไปประมาณ 90 นาที หนึ่งในความหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่สามารถมองเห็นทะเลทราย Edge of the World หรือที่รู้จักกันในชื่อ Jebel Fihrayn ได้ในมุมกว้าง และกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทะเลทรายแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเส้นทางคาราวานที่สำคัญอีกด้วย
พระราชวังประวัติศาสตร์มูร์รับบา(Murabba Palace) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของซาอุดิอาระเบีย สร้างขึ้นในปี 1936 เป็นพระราชวังแห่งแรกที่สร้างนอกกำแพงเมืองเก่า โดยกษัตริย์อับดุลอาซิซ(Abdulaziz bin Abdul Rahman) กษัตริย์พระองค์แรกของซาอุดิอาระเบีย พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของครอบครัว และเป็นราชสำนักของกษัตริย์ การเกิดของพระราชวังเป็นที่มาของความเจริญทางด้านเทคโนโลยีอีกหลายๆ ด้าน มีการสร้างถนนคอนกรีตเพื่อเชื่อมพระราชวังกับใจกลางเมือง มีการใช้รถยนต์เป็นพาหนะ
ปัจจุบัน Murabba Palace ได้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชม ภายหลังที่มีการปรับปรุงจึงถูกเรียกว่า "living museum"(พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต) พิพิธภัณฑ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ King Abdulaziz Darat หรือศูนย์ประวัติศาสตร์ King Abdulaziz ภายในอาคารชั้นล่างประกอบด้วยห้องของยาม และคลังเก็บอาหาร กาแฟ ไม้ และวัสดุอื่นๆ ที่จำเป็นในการประกอบอาหาร ชั้นบนเป็น ร้านเสริมสวย มีห้องรับแขก ภายในยังมีการจัดแสดงเสื้อผ้า และงานฝีมือที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีหอรำลึกถึงกษัตริย์อับดุลอาซิซ และเป็นศูนย์เก็บเอกสาร และภาพถ่ายอีกด้วย
บุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกที่ได้รับการต้อนรับที่พระราชวังมูรับบา เช่น เลขาธิการทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิง(Xi Jinping) และ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์(Donald Trump) และเมลาเนีย ทรัมป์ ภริยา
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติซาอุดิอาระเบีย(National Museum of Saudi Arabia) พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติซาอุดิอาระเบียเป็นสถานที่สำคัญของการมาเที่ยวซาอุดิอาระเบีย เพราะเป็นสถานที่ที่บอกเล่าเรื่องราวของอาณาจักรตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ไปจนถึงสมัยใหม่ นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแกลเลอรี 8 แห่งที่อยู่ภายในอาคาร มีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่น่าสนใจมากมาย
ตลาด Souq Al Zal ตลาดท้องถิ่น หนึ่งในตลาดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองริยาด ตั้งอยู่ในย่าน ad-Dirah ของกรุงริยาด ทางตะวันออกของพระราชวัง al-Hukm ในเขต Qasr al-Hukm ที่นี่เป็นแหล่งรวมของฝากเอาใจคนชอบชอปปิง ตลาด Souq Al Zal มีชื่อเสียงในการจำหน่ายพรม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับไม้กฤษณา รวมไปถึงงานหัตถกรรมท้องถิ่นต่างๆ เครื่องเทศ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบคนท้องถิ่น ใครที่ชื่นชอบของเก่าที่นี่ก็มีให้ดูกันเพลินไปเลย
2. เมืองเจดดาห์(Jeddah)
เมืองเจดดาห์(Jeddah) เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศซาอุดิอาระเบีย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของทะเลแดง(Red Sea) มีความสำคัญเพราะเป็นทั้งท่าเรือ และเป็นประตูไปสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์อย่างเมกกะและเมดินา เจดดาห์จึงได้รับสมญานามว่า "The Gate to Makkah"(ประตูสู่เมกกะ) เมืองนี้มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม และมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ เจดดาห์นอกจากมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งแล้ว ก็ยังเป็นที่ตั้งของ ท่าอากาศยานนานาชาติสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ(King Abdulaziz International Airport) หรือสนามบินเจดดาห์ สนามบินหลักของประเทศ นักท่องเที่ยวที่เดินทางจากเมืองไทยโดยสายการบินไทย(Thai Airway) จะบินตรงไปลงกันที่สนามบินแห่งนี้ สถานที่น่าเที่ยวในเมืองเจดดาห์ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดเลยก็คือ เมืองมรดกโลกอย่าง อัล บาลัด(Al Balad)
เมืองมรดกโลกอัล บาลัด(Al Balad) มาถึงเมืองเจดดาห์ ก็ต้องไม่พลาดเดินเล่นในเมืองเก่าอย่าง อัล บาลัด(Al Balad) ที่นี่มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ที่มีความเก่าแก่ มีทางเดินแคบๆ คดเคี้ยวไปตามอาคารบ้านช่องเก่า เดินชมสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เดินเล่นชมตึกเก่า ประตู หน้าต่าง ถ้าต้องการความมีชีวิตชีวาในเมืองนี้ ก็แนะนำให้ไปเดินตลาด หรือที่คนท้องถิ่นที่เรียกว่าซุก(souqs) ตลาดมักจะเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา มีสินค้าท้องถิ่น ทั้งงานหัตถกรรม มีของที่ระลึก เครื่องหอม น้ำหอม เครื่องเทศ ต่างๆ ตลาดจะทำให้ท่านได้สัมผัสวัฒนธรรม และบรรยากาศแบบดั้งเดิม
ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์เจดดาห์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเจดดาห์ ตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่เป็นท่าเรือการค้าจนถึงสถานะเมืองใหญ่ในปัจจุบัน
พิพิธภัณฑ์บ้านนาซีฟ(Naseef House) เป็นหนึ่งในตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของ Al Balad ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุด เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม และผู้เยี่ยมชมสามารถเยี่ยมชมบ้าน และเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของครอบครัวเจดดาห์ที่ร่ำรวยในศตวรรษที่ 19
ปี 2014 อัล บาลัด(Al Balad)ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจาก ยูเนสโก(UNESCO) หรือองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization)
อัล บาลัด(Al Balad) มีแกลเลอรีหลายแห่ง รวมทั้งมีมัสยิด Al-Shafi'i Mosque มัสยิดแห่งนี้เป็นหนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่ และสำคัญที่สุดใน Al Balad สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และหออะซานอันหรูหรา
ตามที่เขียนไว้เบื้องต้นว่าเมืองเจดดาห์(Jeddah) เป็นประตูสู่เมกกะ เมื่อมาถึงเมืองนี้ ก็อย่าพลาดที่จะมาถ่ายรูปหน้าประตูเมกกะ( Mecca Gate หรือ Makkah Gate) ประตูนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1979 ออกแบบโดย Dia Aziz Dia และสถาปนิกคือ Samir Elabd
ทางเดินเลียบชายฝั่ง Jeddah Corniche หรือ Jeddah Waterfront(JW) หรือถนนเลียบชายฝั่ง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองเจดดาห์(Jeddah) ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแดง เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ทอดยาวริมชายฝั่งกว่า 30 กิโลเมตร เมื่อเดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ จะได้เจอกับมัสยิดอัลราห์มา(Al-Rahmah Mosque หรือ Masjid Al Rahma)
มัสยิดอัลราห์มา(Al-Rahmah Mosque หรือ Masjid Al Rahma) บางคนเรียกมัสยิดลอยน้ำ ในทุกๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวแวะชมมัสยิดแห่งนี้หลักล้านคน มัสยิดอัลราห์มา หลังใหญ่สีขาวนี้ดูเหมือนลอยอยู่บนเสา รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นทั้งหมด นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมมัสยิด แนะนำว่าควรเดินเล่นไปตามถนน Corniche เพื่อชื่นชมความสวยงามของมัสยิด โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตก ยิ่งใครที่บัญเอิญไปเยี่ยมชมมัสยิดในช่วงน้ำขึ้นจะสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของมัสยิดได้อย่างแท้จริง เนื่องจากในช่วงเวลานี้มัสยิดจะดูเหมือนลอยอยู่จริงๆ นอกจากนั้นบริเวณนี้ท่านจะได้ชมน้ำพุกษัตริย์ฟาฮัด(King Fahd’s Fountain) น้ำพุที่ว่ากันว่าสูงที่สุดในโลก ที่สามารถพุ่งน้ำได้สูงถึง 312 เมตร ที่พุ่งมาจากทะเลแดง
การได้เดินเล่นในเมืองเก่าที่เป็นมรดกโลก เป็นสิ่งที่ห้ามพลาด เพราะนั่นจะทำให้ท่านได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง และอย่าลืมลองแวะชิมอาหารท้องถิ่น เช่น kabsa, shawarma และfalafel ที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่นี่ผ่านวัฒนธรรมการกินได้อีกด้วย
สิ่งที่ควรคำนึงถึงของการมาเที่ยวเมืองมรดกโลกอัล บาลัด(Al Balad)ก็คือเรื่องของการแต่งกาย ผู้หญิงไม่ควรแต่งกายโป๊ ผู้ชายไม่ควรสวมกางเกงขาสั้น เจดดาห์เป็นเมืองที่ร้อนโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ควรสวมเสื้อผ้าที่สบาย และดื่มน้ำปริมาณมาก การเดินเล่นในเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน ควรระวังทรัพย์สินมีค่า โดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และช่วงเทศกาลแสวงบุญ
3. เมืองเมดินา(Medina)
เมดินา(Medina) นับเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์อันดับสองในศาสนาอิสลาม รองจากเมกกะ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาวมุสลิมทั่วโลก ตั้งอยู่ในภาคกลางตะวันตกของซาอุดีอาระเบีย ห่างจากเจดดาห์ไปทางเหนือประมาณ 420 กิโลเมตร แม้ว่าเมดินาจะมีชื่อเสียงในด้านความสำคัญทางศาสนา แต่เมดินาก็มีมากกว่าสถานที่แสวงบุญ ในบทความนี้ ฟรีเบิร์ดทัวร์ จะพาท่านไปสำรวจสถานที่ที่ต้องไปเยี่ยมชมในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ผ่านเรื่องราวความร่ำรวยทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม
มัสยิดอัล นาบาวี หรือมัสยิดอัลนะบะวีย์(Al Masjid an Nabawi) มัสยิดที่เป็นสถานที่พำนักแห่งสุดท้ายของของศาสดามูฮัมหมัด และเพื่อนอีก 2 คน ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา และความเคารพ มัสยิดอัล นาบาวี มีความเก่าแก่ สวยงาม เป็นสถานที่สำคัญสำหรับชาวมุสลิมจากทั่วโลกที่ต้องการเยี่ยมชม และปฏิบัติพิธีทางศาสนาอย่างเป็นทางการ มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยศาสดามูฮัมหมัด และสหายของเขาหลังจากที่พวกเขาอพยพไปยังเมดินาในปีคริสตศักราช 622 ไม่นาน เดิมทีเป็นโครงสร้างกลางแจ้งที่เรียบง่าย แต่ได้รับการต่อเติมและปรับปรุงใหม่ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันมัสยิด Al Masjid an Nabawi เป็นหนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุด และน่าประทับใจที่สุดในโลก
ด
ลักษณะเด่นของ มัสยิดอัล นาบาวี หรือมัสยิดอัลนะบะวีย์(Al Masjid an Nabawi) ก็คือ โดมสีเขียว ตั้งอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของมัสยิดอัล-นาบาวี นับเป็นจุดเด่นที่สุดของมัสยิด ตรงจุดนี้ยังเป็นหลุมศพของศาสดามูฮัมหมัด และสหายที่ใกล้ชิดที่สุดอีกสองคน ได้แก่ อบู บักร์ และอุมัร
Rawdah เป็นพื้นที่พิเศษในมัสยิดซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหลุมฝังศพของท่านศาสดา และ minbar (ธรรมาสน์) ว่ากันว่าท่านศาสดากล่าวว่ารอว์ดะห์เป็นสวนสวรรค์ และการละหมาดในรอว์ดะห์นั้นคุ้มค่า
ริยาด อุล ญานนาห์ เป็นสวนที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของมัสยิด ว่ากันว่าท่านศาสดาตรัสว่าริยาด อุล ญันนะฮ์เป็นสวนสวรรค์ และการเดินในริยาด อุล ญานนาห์ก็เหมือนกับการเดินในสวนเอเดน
มัสยิดทั้งเจ็ด มัสยิดทั้งเจ็ดเป็นกลุ่มมัสยิดเจ็ดแห่งที่สร้างขึ้นโดยศาสดามูฮัมหมัดและสหายของเขา ตั้งอยู่ในส่วนต่างๆ ของมัสยิด
นอกจากความสำคัญทางศาสนาแล้ว เมดินายังเป็นเมืองที่สวยงามและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อีกด้วย เป็นที่ตั้งของมัสยิด โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม และสถานที่ทางศาสนาและวัฒนธรรมอื่นๆ หลายแห่ง เมดินายังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และมีโรงแรมและร้านอาหารมากมายให้เลือก
4. เมืองอัล อูลา(Al Ula)
อัล อูลา(Al Ula) นับเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวซาอุดิอาระเบีย เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ และน่าหลงใหล มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอันยาวนานที่มีอายุนับพันปี มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เป็นที่ตั้งของโบราณสถานหลายแห่ง มีแหล่งโบราณคดีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO) และเป็นมรดกโลกแห่งแรกของซาอุดิอาระเบีย
Al Ula ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ห่างจากกรุงริยาด ประมาณ 1,100 กิโลเมตร พร้อมกันแล้วหรือยัง ตาม Freebirdtour ไปรู้จักกับ อัล อูลา(Al Ula) ว่าเมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง
โบราณสถานเฮกรา(Hegra Archaeological Site) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแรกที่ ฟรีเบิร์ดทัวร์ จะพาไปรู้จักในเมืองอัล อูลา โบราณสถานเฮกรา เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีความเก่าแก่กว่า 2,000 ปี เป็นอารยธรรมยุคเดียวกับเพตรา(Petra) ที่ประเทศจอร์แดน Hegra Archaeological Site ประกอบไปด้วยสุสานโบราณ หินธรรมชาติรูปทรงแปลกตา ที่กระจายอยู่กลางทะเลทราย บ้างมีการแกะสลักดูเด่นแปลกตา สิ่งเหล่านี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO) เมื่อปี ค.ศ.2008 และเป็นแหล่งโบราณสถานแห่งแรกของประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
Elephant Rock หรือ Elephant Mountain หรือภาษาอาหรับเรียกว่า Jabal Al-Fil หินรูปทรงเหมือนช้างที่สรรสร้างโดยธรรมชาติ เกิดจากการกัดเซาะของลม และน้ำตลอดระยะเวลาหลายล้านปี ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย มีความสูงกว่า 52 เมตร เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญที่เรียกนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็น Elephant Rock แม้ในระยะไกล ยิ่งช่วงเย็นโพล้เพล้ ไปจนพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน Elephant Rock ที่อยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติจากกลางวันไปสู่กลางคืนก็ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้มีมนต์ขลังเพิ่มมากขึ้น
Old Town ย่านเมืองเก่าของ Al Ula มีลักษณะเหมือนเป็นเขาวงกต มีถนนแคบ ๆ ประกอบไปด้วยอาคารอิฐโคลนแบบดั้งเดิม นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นในย่านเมืองเก่า ที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และร้านกาแฟ
ในเมือง อัล อูลา(Al Ula) ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง ตึกกระจกขนาดใหญ่ Maraya ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายหุบเขาอัชชาร์(Ashar Valley) ออกแบบโดย Florian Boje สถาปนิก และนักออกแบบชาวอิตาเลี่ยน ตัวอาคารถูกออกแบบมาในทรงลูกบาศก์ มีพื้นที่ 9,740 ตารางเมตร เป็นกระจกทั้งหลัง นับเป็นอาคารกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊กเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.2020 และเพราะตัวอาคารเป็นกระจกทั้งหลังที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ทำให้กระจกที่สะท้อนพื้นที่โดยรอบ ทำให้อาคารแห่งนี้เป็นดั่งสถาปัตยกรรมชั้นเอก ที่มองแล้วสวยงามจริงๆ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อยากไปเที่ยวซาอุดิอาระเบีย กับ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ หรือยัง หากอยากจะเปิดมุมมองใหม่ หนีความจำเจ เพิ่มสีสันใหม่ๆ ให้กับชีวิตการท่องเที่ยว การไปเที่ยวSaudi Arabia เป็นหนึ่งในคำตอบที่ Freebird Travel and Tour อยากจะแนะนำคุณ
ตามโปรแกรมทัวร์ซาอุดิอาระเบีย ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกหลายแห่ง ที่จะพาท่านแวะไปทักทายกัน โปรแกรมทัวร์ซาอุดิอาระเบีย มีหลายโปรแกรมให้คุณเลือก เช่น โปรแกรมทัวร์ซาอุดิอาระเบีย 9 วัน 7 คืน หรือถ้ามีเวลาน้อย ก็เลือกโปรแกรมทัวร์ซาอุดิอาระเบีย แบบ 7 วัน 6 คืน ก็ได้เช่นกัน หากยังตัดสินใจไม่ถูกว่า ซาอุดิอาระเบีย น่าเที่ยวไหม คุณสามารถ Add Line หรือโทรมาพูดคุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์ได้ ตามเบอร์โทรด้านล่าง มีทีมงานยินดีให้คำแนะนำ สำหรับท่านที่กำลังมีแผนจะไปเที่ยวซาอุดิอาระเบียในเร็วๆ นี้ ก็อย่าลืมเตรียมความพร้อม เรื่องน่ารู้ก่อนเที่ยวซาอุดิอาระเบีย เพื่อจะทำให้การเดินทางครั้งนี้สนุกมากขึ้น
ซาอุดิอาระเบียมีอะไรให้เที่ยว พร้อมแล้วออกไปหาคำตอบกันกับประเทศที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความแปลกตา ภูมิทัศน์ที่มีเอกลักษณ์ ที่จะสร้างความประหลาดใจให้คุณ จนเกิดความสงสัยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกันนะ
- 25 September 2023 -
- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -
สนใจโปรแกรมทัวร์ซาอุดิอาระเบียคลิกที่นี่
คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์
โทร.02-0488-785-6 Hotline 093-570-3000 , 085-151-1000