11 เอกลักษณ์แห่งแฟชั่นต่างแดน

         

 

11-fashion-from-abroad freebirdtour

 

การเดินทางคือการค้นพบความแตกต่าง  แต่ละประเทศต่างๆในโลกย่อมมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์เฉพาะตนที่แสดงออกมาในหลากหลายรูปแบบ เช่น อาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย อาหาร งานพิธีต่างๆ ภาษา วิถีชีวิต การแต่งกาย  หลายสิ่งหลายอย่างผ่านกาลเวลา ผ่านการสืบทอดมาหลายรุ่นหลายสมัย ผ่านการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้เป็นไปตามสมัย บ้างก็ยังคงสวยงามแบบคลาสิกผ่านการปรุงแต่งน้อย การเดินทางท่องเที่ยวตามที่ต่างๆทั่วโลก นอกจากจะชื่นชมความสวยงามของสถาปัตยกรรม เพลิดเพลินกับธรรมชาติอันน่าทึ่ง  การได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คน  ประเพณี  วัฒนธรรม  การแต่งกายที่ถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่สมัยอดีตของประเทศนั้นๆ เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นที่จดจำได้ในสายตาชาวโลก นั่นก็สร้างความประทับใจในการท่องเที่ยวแต่ละครั้งได้ดีอีกด้วย   การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกับแฟชั่นต่างแดนที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดกันมาเกี่ยวพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ จะพาไปชมเสน่ห์ของแฟชั่นต่างแดนที่งดงามและทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่รักษาไว้จนถึงปัจจุบันกับเรื่องราวของ 11 เอกลักษณ์แห่งแฟชั่นต่างแดน งามหลากหลาย ถ่ายทอดวัฒนธรรม

 

1. Traje de luces ประเทศสเปน

traje_de_luces_spain_freebirdtour

 

เทศกาลสู้วัวกระทิงนับว่าเป็นทั้งกีฬา และศิลปวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับสเปนมาเนิ่นนาน สิ่งที่คู่กับการต่อสู้วัวกระทิงคือ นักสู้วัวกระทิง หรือที่เรียกว่ามาธาดอร์(Matador) สิ่งที่คู่กับเครื่องแต่งกายของนักสู้วัวกระทิง(Matador)  ก็คือ “Traje de luces”  แปลว่า ชุดแห่งแสงสว่าง เนื่องจากดวงอาทิตย์สะท้อนแสงจากเลื่อมที่วาววับของเสื้อผ้าของนักสู้วัวกระทิงเมื่อยามที่นักสู้วัวกระทิงอยู่ในสนามแข่งขัน  เครื่องแต่งกายที่มีการประดับตกแต่งที่ซับซ้อนมากมายด้วยกรรมวิธีที่พิถีพิถันเป็นงานที่ทำด้วยมือทั้งหมดถือว่าเป็นชุดโอต์กูตูร์(Haute Couture) ซึ่งเป็นการตัดเย็บชั้นสูง ตัดเย็บโดยช่างที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญสูง ชุด Traje de luces ประกอบด้วยแจ็คเก็ตสั้น(Chaquetilla) , เสื้อกั๊ก และกางเกงรัดรูปผ้าไหม และผ้าซาตินยาวถึงเข่า(Taleguilla)  ประดับด้วยลูกปัด และปักด้วยไหมสีเลื่อมทอง สีเงิน  , สายเอี๊ยม สายคาด  เนคไท ผ้าเช็ดหน้า และรองเท้าส้นแบน เป็นเครื่องแต่งกายที่มีประวัติความเป็นมายาวนานยังคงทำในรูปแบบดั้งเดิม และรักษาศิลปะวัฒนธรรมของงานฝีมือคุณภาพสูงไว้จนถึงปัจจุบัน  Traje de luces มิได้มีอยู่ในเฉพาะสนามสู้วัวเท่านั้น ยังมีอิทธิพลบนแคทวอล์คในแฟชั่นโลกด้วยเช่นกัน   Dolce and Gabbana, Ralph Lauren, Moschino   ยังได้รับแรงบันดาลใจจากชุด Traje de luces  อีกด้วย  หากคุณได้มาเที่ยวสเปนฟรีเบิร์ดทัวร์ขอบอกไว้เลยว่า เทศกาลสู้วัวกระทิง เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่น่าเข้าร่วมชมสักครั้ง เพราะคุณจะได้พบกับเอกลักษณ์แห่งแฟชั่นที่หาดูได้ยาก ชื่อว่า Traje de luces

 

2. Shiromuku ประเทศญี่ปุ่น

shiromuku_japan_freebirdtour

 

ญี่ปุ่น(Japan) เป็นประเทศที่มากมายด้วยวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงามสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต เครื่องแต่งกายของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะชุดกิโมโนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก หากแต่ยังมีเครื่องแต่งกายของญี่ปุ่นที่สะท้อนคุณค่า และเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นอย่างเช่นชุดแต่งงานแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Shiromuku(ชิโระมุคุ) แม้ว่าผ่านกาลเวลามายาวนานแต่ยังคงดำรงไว้ซึ่งขนบประเพณีที่งดงามจนถึงปัจจุบัน ฟรีเบิร์ดทัวร์ขอพาไปรู้จักกับ Shiromuku


Shiromuku(ชิโระมุคุ) ชิโร แปลว่า ขาว และ มุคุ แปลว่า ไร้ราคี สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหมายที่ลึกซึ้งคือเจ้าสาวเปรียบเสมือนสีขาวพร้อมที่จะเปลี่ยนสีให้เป็นสีเดียวกับครอบครัวเจ้าบ่าว เพราะสีขาวผสมสีอะไรก็จะกลายเป็นสีนั้น


Shiromuku(ชิโระมุคุ) เป็นชุดแต่งงานแบบชินโตดั้งเดิมของเจ้าสาว เป็นการตัดเย็บอย่างปราณีต การแต่งตัวจะแต่งด้วยผู้ที่เชี่ยวชาญเนื่องด้วยชุดมีความซับซ้อนหลายอย่าง ชุดShiromuku จะมีสีขาวล้วนตั้งแต่ศีรษะจรดรองเท้า อันประกอบด้วย ชุดกิโมโนสีขาวที่มีชายยาวเรียกว่า Kakeshita(คาเคชิตะ) ทำจากผ้าไหมหรือผ้าซาติน พาดเอวด้วย Fukuro obi(ฟุคุโระโอบิ) เป็นผ้าคาดเอวผืนกว้างพัน และรัดด้วยObiage(โอบิอาเกะ) ที่เหมือนผ้าพันคอ และผูกด้วยเชือกที่เรียกว่า Obi jime(โอบิจิเมะ) และสวมด้วยเสื้อคลุมตัวที่สองด้านนอกสีขาวเรียกว่า Uchikake(อุจิคาเคะ) หมวกสีขาวขนาดใหญ่แบบพิเศษ เรียกว่า Wataboshi(วาตาโบชิ) สวมถุงเท้าTabi sock(ทาบิ)สีขาว และรองเท้าแตะZori sandals(โซริ) งานแต่งงานแบบชินโตดั้งเดิมนี้จะจัดขึ้นในศาลเจ้า เจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะเชิญครอบครัว และเพื่อนฝูงมาร่วมพิธี เป็นการแต่งงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ที่รักษาความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ถ่ายทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ปัจจุบันเนื่องจากมีความยุ่งยากซับซ้อน และค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นคู่แต่งงานส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนชุดในแบบที่ทันสมัย และง่ายขึ้น การแต่งงานแบบชินโตดั้งเดิมอาจมีให้เห็นได้น้อยลง หากคุณมาเที่ยวญี่ปุ่นอาจจะมีโอกาสได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมที่หาดูได้ยากเช่น Shiromuku(ชิโระมุคุ) นี้ได้

 

3. Sombrero Vueltiao ประเทศโคลอมเบีย

Sombrero Vueltiao freebirdtour

 

Sombrero Vueltiao หมวกพื้นเมืองอันเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของโคลอมเบีย(Colombia) Sombrero Vueltiao เป็นหมวกทรงปีกตรงกลางเป็นสีเหลี่ยม ทำจากใบคานาเดเฟลเช(cana de fleche) ซึ่งเป็นอ้อยท้องถิ่นพันธุ์หนึ่งเติบโตแถบแนวชายฝั่ง ปลูกในภูมิภาค Vueltiao โดยนำเอาเส้นใยออกนำไปตากแดดจนเส้นใยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาว นำไปถักทอเส้นใยเข้าด้วยกันเพื่อให้หมวกมีความยึดหยุ่นโค้งงอและหนาแน่นแสงส่องผ่านได้น้อย มีคุณภาพสูง

สีดั้งเดิมของ Sombrero Vueltiao  คือ สีขาวดำ ปัจจุบันมีการเพิ่มสีสันมากขึ้น ผลิตโดยชนเผ่าพื้นเมืองของโคลอมเบีย เป็นฝีมือที่ละเอียดอ่อนสืบทอดกันมานานหลายร้อยปี หมวก Sombrero Vueltiado พบเห็นในงานเทศกาล และคาร์นิวัลต่างๆ หรือตามร้านค้าขายของที่ระลึก Sombrero Vueltiao มีหลายราคา หลายคุณภาพตั้งแต่ถูกจนถึงแพง มีทั้งของที่ผลิตโดยช่างฝีมือแท้ และงานลอกเลียนแบบ หากคุณมีโอกาสมาเที่ยวอเมริกาใต้(South America) ประเทศโคลอมเบีย(Colombia) ฟรีเบิร์ดทัวร์แนะนำว่าอย่าลืมซื้อหมวก Sombrero Vueltiao เก็บไว้เป็นของที่ระลึกกันนะคะ

อเมริกาใต้ เป็นทวีปที่มีประเทศอยู่ในนี้รวม 13 ประเทศ แต่ละประเทศมีสถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิต ศิลปะวัฒนธรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และหากมีโอกาสมาเที่ยวประเทศในทวีปอเมริกาใต้แล้วก็ต้องไม่พลาด งานคราฟต์ๆ แห่งอเมริกาใต้ ที่มีมากจนเลือกไม่ถูกกันเลย

 

4. Shuka ประเทศเคนย่า ประเทศแทนซาเนีย

shuka kenya freebirdtour

 

 

ภาพชนพื้นเมืองผอมสูงผิวเข้มสวมใส่ผ้าสีแดงสด เลี้ยงสัตว์อยู่กลางทุ่งหญ้าในแอฟริกา ชนพื้นเมือง ที่เรียกว่า ชาวมาไซ (Maasai) เป็นชนเผ่าแอฟริกาตะวันออก ปัจจุบันส่วนใหญ่กระจายอยู่แถบตอนใต้ของเคนยา(Kenya) และตอนเหนือของแทนซาเนีย(Tanzania) สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาวมาไซมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ คือชุดพื้นเมืองสีแดงสด ชุกะ(Shuka) หมายถึงการห่อหุ้มร่างกาย เป็นผ้าคลุมแบบดั้งเดิมประกอบด้วยผ้าหลากสี สีที่โดดเด่น และเป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ สีแดง เพราะเชื่อว่าสีแดงใช้ป้องกันตัว และพรางตัวเมื่ออยู่พื้นที่ของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่มีที่ราบแห้งแล้งมีดินสีน้ำตาลแดง

ชุกะ(Shuka) มีทั้งเป็นแบบผ้าสีพื้น และแบบมีแถบสีดำ น้ำเงิน แดง ลายทาง ลายสกอต เมื่อพูดถึงลายสกอตก็ทำให้ฟรีเบิร์ดทัวร์นึกไปถึงเครื่องแต่งกายของชาวสกอตแลนด์ที่แสดงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้เรานึกถึงประเทศสกอตแลนด์อย่างเครื่องแต่งกายที่เรียกกันว่า คิลท์(Kilt) คลิกอ่านเรื่องคิลท์ๆของชายใส่กระโปรง

ตามประวัติศาสตร์เล่ากันว่า ในส่วนที่เป็นลายสกอตนั้นชาวมาไซได้แรงบันดาลใจมากจากมิชชันนารีชาวสกอตเมื่อครั้งที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในแอฟริกาตะวันออกเพื่อเผยแพร่ศาสนา  มิชชันนารีเหล่านี้แต่งตัวด้วยชุดพื้นเมืองสกอต  ชาวมาไซจึงได้ดัดแปลงลายสกอตเป็นผ้าชุกะ(Shuka) ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สวมใส่ร่วมกับเสื้อผ้าแอฟริกันด้านใน การสวมใส่จะแตกต่างกันไปตามอายุ เพศ และสถานที่ สวมใส่ได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสไตล์ส่วนตัวของผู้สวมใส่ ใช้ผูกพาดไหล่หรือรอบลำตัวเหมือนเสื้อ ชาวมาไซเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในแอฟริกาที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของตนไว้เป็นอย่างดี หากมาเที่ยวเคนยา และแทนซาเนีย นอกจากจะได้ตื่นตาตื่นใจกับสัตว์ป่าที่หาชมได้ยากแล้ว การได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวมาไซ จะเป็นความทรงจำที่ดีและน่าประทับใจไปอีกนาน

 

5. La Pollera & La manta ประเทศโบลิเวีย และประเทศเปรู

La Pollera & La manta

 

ภาพหญิงพื้นเมืองถักเปียยาวสองข้าง สวมกระโปรงจับจีบพองบาน พาดด้วยผ้าพาดไหล่มากมายด้วยลวดลายสีสันสดใส สวมหมวกสุดคลาสิก ปรากฎกายอยู่ดินแดนแถบเทือกเขาแอนดีส(Andes)  เช่น ประเทศโบลิเวีย เปรู ทวีปอเมริกาใต้


La Pollera เป็นกระโปรงทรงกว้างจับจีบพองใหญ่ มีทั้งแบบสีเรียบทั้งตัว และแบบมีการเล่นลวดลาย สีสดใสมากกว่าหนึ่งสี  ตรงชายกระโปรงจะมีลายปักเป็นลวดลายต่างๆ ความยาวของกระโปรงจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค มีทั้งยาวถึงข้อเท้า และพองมาก มีเป็นแบบกระโปรงยาวแค่เข่า และพองน้อยกว่า


La Manta ผ้าคลุมไหล่เนื้อนุ่ม ทำมาจากขนสัตว์เส้นใยอัลปาก้า หรือลามะผ้าทออย่างปราณีต บางผืนเป็นผ้าทอมือแบบดั้งเดิม “อากัวโย” (Aguayo) โดยช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงที่สุดได้พัฒนาลวดลายที่ซับซ้อนเป็นงานฝีมือคุณภาพสูง สีสันสดใสเป็นผ้าที่ถูกพัฒนาโดยชนพื้นเมืองมาอย่างต่อเนื่อง La manta ผ้าสี่เหลี่ยมใช้คลุมหลัง และไหล่ให้ความอบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของเทือกเขาแอนดีส นอกจากให้ความอบอุ่นกับร่างกายแล้ว ยังใช้สำหรับไพล่ไว้ข้างหลังทำเป็นถุงใส่ของ หรือแบกเด็กเล็ก โดยมีการยึดปลายไว้โดยการผูก ถ้าชอบจะซื้อกลับมาเป็นที่ระลึกก็ได้นะคะ คลิกอ่าน ไปเที่ยวเปรูซื้ออะไรดีนะ 

ชนพื้นเมืองของแต่ละหมู่บ้านมีสไตล์การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไปตามภูมิภาคนั้นสะท้อนให้เห็นถึงการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นความภาคภูมิใจของชนพื้นเมืองมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

หากมีโอกาสไปเที่ยวอเมริกาใต้ เช่น เปรู โบลิเวีย คุณจะได้เห็นชนพื้นเมืองสวมชุดนี้ทำงานในชีวิตประจำวัน ตลาดพื้นเมืองที่นำผลผลิตของตนเองมาขาย พบเห็นตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ และช่วงที่มีงานเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญๆ ถ้าอยากถ่ายรูปกับเขาก็ลองขอดูนะคะ ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวน คลิกอ่าน แชะ...แช๊ะ แวะถ่ายรูปกับ 9 ชนพื้นเมืองในต่างแดน

 

6. Maasai Beadwork ประเทศเคนย่า ประเทศแทนซาเนีย

Maasai Beadwork

 

สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของชาวมาไซนอกเหนือจากการเครื่องแต่งกายแล้ว เครื่องประดับลูกปัดทำมือแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Maasai Beadwork ก็เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวมาไซที่สะสมเป็นมรดกสืบทอดของครอบครัวมายาวนาน ในสมัยก่อนลูกปัด ทำมาจากดินเหนียว เปลือกหอย งาช้าง กระดูกสัตว์ หรือเมล็ดพืช ปัจจุบันลูกปัดได้มีการพัฒนาเป็นลูกปัดพลาสติก และแก้วมีสีสันสดใสและน้ำหนักเบาขึ้น ผู้หญิงชาวมาไซ จะเป็นผู้ทำหลังจากว่างในการปฎิบัติภารกิจประจำวัน ต้องจัดสรรเวลาเพื่อพบปะ และทำงานประดิษฐ์ เครื่องประดับลูกปัดถือเป็นหน้าที่ของผู้หญิงชาวมาไซที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งทำออกมาในหลายรูปแบบ เช่น สร้อยคอ ปลอกคอขนาดใหญ่ สร้อยข้อมือ ข้อเท้า สายคาดเอว และจี้ แต่ละอย่างมีดีไซน์ที่แตกต่างกันไป

Maasai Beadwork เครื่องประดับของชาวมาไซสะท้อนถึงวัฒนธรรมในหลายแง่มุม สีของเครื่องประดับสำหรับชาวมาไซมีความหมายแตกต่างกัน เช่น สีแดง เป็นสีสำคัญที่สุดของชาวมาไซ แสดงถึงความกล้าหาญ ความแข็งแกร่ง และยังหมายถึงเลือดวัวที่ถูกฆ่าเพื่อใช้ในการเฉลิมฉลอง นอกจากนั้นยังมีความหมายพิเศษคือความสามัคคี สีส้ม หมายถึง มิตรภาพ การต้อนรับของชาวมาไซ สีเขียว หมายถึง สีแห่งพื้นแผ่นดิน ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์แสดงถึงความเป็นอยู่ที่ดีที่ให้ผลผลิต อาหาร พืช ผัก แหล่งผลิตอาหารสำหรับวัวที่หล่อเลี้ยงชาวมาไซ สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ของนม อาหารหลักแหล่งพลังงาน สีฟ้า หมายถึง สัญลักษณ์ของการยังชีพ พลังงาน แหล่งน้ำสำหรับผู้คน สีเหลือง หมายถึง ดวงอาทิตย์ที่ช่วยให้ปลูกหญ้าเลี้ยงวัวสำหรับชาวมาไซ และหล่อเลี้ยงชีวิตชาวมาไซ

ชาวมาไซสวมเครื่องประดับลูกปัดทั้งชาย และหญิง เครื่องประดับบางชิ้นสวมใส่ในโอกาสพิเศษ เช่น การแต่งงาน หรืองานบรรลุนิติภาวะของเด็ก เครื่องประดับที่เป็นปลอกคอลูกปัดจึงแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชาย งานแต่งงานส่วนใหญ่แม่ของเจ้าสาวจะเป็นคนทำเครื่องประดับให้ลูกสาว เครื่องประดับลูกปัดของชาวมาไซแต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์ที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะตัวของผู้สวมใส่ หากคุณมีโอกาสเดินทางไปเที่ยว เคนย่า และแทนซาเนีย คุณจะสามารถพบเห็นงานแฟชั่นเครื่องประดับลูกปัดชาวมาไซพร้อมเรียนรู้วิถีชีวิตคนท้องถิ่นที่น่าสนใจมากมาย ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวนอ่าน เสน่ห์งานคราฟต์ชวนชอปที่แอฟริกา

 

7. Dirndl and  Lederhosen ประเทศเยอรมันนี

Dirndl and  Lederhosen

 

Dirndl and Lederhosen เกิดในเยอรมันช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นเครื่องแต่งกายพื้นบ้าน Dirndl ชุดสำหรับผู้หญิงในสมัยก่อนเป็นชุดแม่บ้านคนทำงานบ้าน และทำงานในฟาร์ม ใช้ผ้าคุณภาพต่ำไม่มีดีไซน์อะไรโดดเด่น หญิงสาวชาวบ้านในแถบเทือกเขาแอลป์ และในชนบทของเยอรมันนิยมสวมใส่ ปัจจุบันได้มีการนำมาสวมใส่ในงานเทศกาลรื่นเริงต่างๆ จึงมีการพัฒนาให้มีสไตล์ทันสมัยมากขึ้น

Dirndl แยกเป็นเสื้อท่อนบน ข้างในส่วนมากเป็นสีขาวล้วนขนาดกระชับพอดีตัวคอเหลี่ยมหรือคอกว้านลึกแขนเสื้อพอง ส่วนบนด้านนอกเป็นเสื้อสีสันมีเชือกผูกรัดด้านหน้า หรือบ้างเป็นซิปซ่อน กระโปรงจับจีบเอว และมีความยาวปานกลางเลยเข่าเล็กน้อย ผ้าด้านหน้าที่คล้ายผ้ากันเปื้อนปลายจะสั้นกว่า มีผ้าคาดเอวผูกเป็นโบว์ด้านหน้าหรือด้านหลัง ในงาน Oktoberfest ระบุไว้ว่า หากผูกโบว์ด้านด้านหน้าซ้ายแสดงว่าโสด ถ้าผูกไว้ด้านขวาแสดงว่าแต่งงานแล้ว

Lederhosen เป็นเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมสำหรับผู้ชาย ในอดีตชาวชนบทสวมใส่ทำงานที่ฟาร์มเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว เป็นกางเกงสั้นประมาณเข่าทำจากหนังสัตว์เพื่อความทนทานและง่ายต่อการทำความสะอาดพบได้ที่เยอรมัน และออสเตรีย ปัจจุบันมักสวมใส่กับเสื้อเชิ้ตสีขาวคลาสิกสวมหมวกสักหลาด ปรากฎให้เห็นในงาน Oktoberfest และเทศกาลเฉลิมฉลองอื่นๆ

งานเทศกาล Oktoberfest ประกาศให้ Lederhosen และ Dirndls เป็นเครื่องแต่งกายประจำงานจนถึงปัจจุบัน หากอยากเห็นชุดจริงๆ ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวนมาเที่ยวเยอรมันในช่วงงาน Oktoberfest เทศกาลเบียร์แห่งเยอรมัน คุณจะสามารถพบเห็นชุดที่เป็นเอกลักษณ์นี้ได้ทั่วงาน เยอรมันเป็นประเทศที่น่าเที่ยว เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม และธรรมชาติ และนี่คือเหตุผลที่ฟรีเบิร์ดทัวร์อยากจะชวนคุณไปทัวร์เยอรมัน เปิด 8 เหตุผลมัดใจให้ไปเที่ยวเยอรมัน

 

8. Kamiks ประเทศกรีนแลนด์

Kamiks

 

Kamiks(คามิกส์) รองเท้าบูทหนังแมวน้ำของประเทศกรีนแลนด์ มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ชาวไอซ์แลนด์ได้ตั้งรกรากในกรีนแลนด์ช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตหนาวจัด แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายที่ทำจากหนังสัตว์จากหมีขั้วโลก และแมวน้ำเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ในประเทศกรีนแลนด์ได้มีการรับเอาวัฒนธรรมการแต่งกาย และการทำรองเท้าบูทหรือ คามิกส์ บูท มาประยุกต์ และพัฒนาจนทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศกรีนแลนด์


Kamiks(คามิกส์) ผลิตโดยกลุ่มชนพื้นเมืองของชาวกรีนแลนด์ รองเท้าบูทมีลักษณะกว้างและยาว น้ำหนักเบายืดหยุ่นและให้ความอบอุ่นได้ดี พื้นรองเท้าใช้วัสดุทนทาน การผลิตคามิกส์หนึ่งคู่ ผ่านขั้นตอนการทำอย่างปราณีตบรรจง เน้นมีการปักบนพื้นสีขาวลวดลายดอกไม้สีสดในส่วนด้านบน บ้างเสริมด้วยลูกไม้สีขาว ส่วนด้านล่างมีการประดับลูกปัดเล็กๆหลากหลายสีสัน เพิ่มดีไซน์ให้สวยงามมากขึ้น สีสันของคามิกส์ แสดงถึงอายุ และสถานภาพสมรส ปัจจุบันสีและลวดลายไม่ได้บ่งบอกแค่อายุและสถานะเท่านั้นแต่ยังบ่งบอกถึงภูมิลำเนาบ้านเกิดได้อีกด้วย

Kamiks(คามิกส์) นับเป็นงานฝีมืออันเป็นประเพณีที่ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นและเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่คุณจะสามารถพบเห็นได้ที่ประเทศกรีนแลนด์ 

กรีนแลนด์(Greenland) ดินแดนทางเหนือสุดของโลกตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก และเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่ของที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และหิมะกว่า 85% เกาะแห่งนี้ล้อมรอบด้วยทะลบริเวณชายฝั่งจะมีอุณหภูมิต่ำอยู่ตลอดเวลา และด้วยสภาพที่ตั้งจึงทำให้ภูมิอากาศของกรีนแลนด์เป็นภูมิอากาศหนาวเย็นแบบอาร์คติก ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวนคลิกอ่าน กรีนแลนด์ สวรรค์บนธารน้ำแข็ง

 

9. Traje de flamenco ประเทศสเปน   

Traje de flamenco

 

นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวสเปน อาจจะเห็นภาพโปสเตอร์ หรือโปสการ์ดของนักระบำฟลาเมงโกอยู่มากมายในแหล่งชอปปิง ร้านขายของที่ระลึก ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งเมื่อนึกถึงสเปน

ระบำฟลาเมงโก(Flamenco) เริ่มต้นในแคว้นอันดาลูเซีย(Andalusia) ทางตอนใต้ของสเปน เมื่ออดีตสเปนถูกปกครองโดยอาหรับจึงได้รับการถ่ายทอดประเพณีการร้องเพลงเต้นรำ สไตล์การร้องการเต้นเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมตามกาลเวลา

ระบำฟลาเมงโก(Flamenco) มีรูปแบบดนตรีพร้อมการร้องเพลงและเต้นรำ นักเต้นแสดงออกด้วยการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการแสดงออกทางสีหน้า นักเต้นอาจปรบมือ และเตะเท้าระหว่างการเต้นเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน ความโดดเด่นที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจนักเต้นระบำฟลาเมงโก(Flamenco) นอกจากความเชี่ยวชาญในการเต้นแล้ว เราก็ยังสะดุดกับความงดงามของเครื่องแต่งกาย ทราเจ เดอ ฟลาเมงโก(Traje de flamenco) ซึ่งเป็นชุดสำหรับนักเต้นฟลาเมงโก สตรีสวมใส่ระหว่างการแสดงระบำฟลาเมงโก(Flamenco) มีหลายแบบหลายสี แต่สีที่นิยมที่สุดเป็นสัญลักษณ์ทั่วโลก คือ สีแดง หรือออกแบบเป็นลายจุดขนาดใหญ่ ทำด้วยผ้าหลายแบบ เช่น ผ้าซาตินเพื่อให้ชุดมีมูลค่าขึ้น คอกลม หรือคอเหลี่ยม กระโปรงระบายเป็นลอนหรือซ้อนเป็นชั้นๆ จับจีบปลายยาวถึงข้อเท้า แขนเสื้อมีทั้งแบบสั้น และยาว มีลวดลายประดับด้วยริบบิ้นบ้าง ลูกไม้บ้าง มีระบายปลายแขน การตัดเย็บชุดฟลาเมงโก เป็นหนึ่งในงานฝีมือที่ซับซ้อน และปราณีตที่สุด นอกเหนือจากชุดฟลาเมงโก อุปกรณ์ประกอบชุดให้งดงามเต็มรูปแบบยังมี ผ้าคลุมไหล่แบบดั้งเดิม ดอกไม้ติดผม ต่างหู สร้อยคอ รองเท้า และพัด เป็นเครื่องประดับสร้างความโดดเด่นให้กับชุดฟลาเมงโก


ทราเจ เดอ ฟลาเมงโก(Traje de flamenco) เป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมของชาวสเปน ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดหลายศตวรรษ มีวิวัฒนาการตามกาลเวลา เป็นชุดที่นักเต้นฟลาเมงโกสวมใส่ในการแสดงในร้านอาหาร โรงละคร และยังเป็นชุดที่ใช้ในการเฉลิมฉลองงานเทศกาลสำคัญๆประจำปีของสเปน การได้เห็นนักแสดงสวมชุดฟลาเมงโกระหว่างเต้นรำขยับกระโปรงแตะเท้ากระทบพื้นล้อไปกับเสียงดนตรี เป็นภาพที่น่าจดใจเมื่อได้มีโอกาสมาเยือนสเปน ฟรีเบิร์ดท้วร์ชวนเที่ยว  สเปน เที่ยว 7 เมืองสวยคุณค่าที่คู่ควร

 

10. Swiss Guard Uniform  ประเทศอิตาลี

Swiss Guard Uniform

 

เครื่องแบบสีสันสดใส ลายทางสีแดง น้ำเงินเข้ม และเหลืองของบุรุษหนุ่มในชุดทหารองครักษ์สวิส(Swiss Guard Uniform) ยืนสง่างามพบเห็นได้ในยามที่เราไปเที่ยวชมนครรัฐวาติกัน กรุงโรม อิตาลี อันเป็นศูนย์กลางแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก มีพระสันตปาปาเป็นประมุข ในอดีตที่ผ่านมาทหารสวิสได้รับการยกย่องว่าเป็นนักรบที่เก่งที่สุดในยุโรป และความจงรักภักดีเป็นยอด ทหารสวิสเข้ามาที่วาติกันเมื่อปี ค.ศ.1506 เพื่อทำหน้าที่อารักขาพระสันตปาปาและดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับนครรัฐวาติกัน ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีสิทธิ์เป็นทหารสวิสได้ แต่ต้องเป็นคนสวิสโดยกำเนิด สถานะภาพโสด  นับถือศาสนาคาทอลิก อายุ 19-30 ปี มีประกาศนียบัตรรับรองการศึกษาพื้นฐาน ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 174 เซนติเมตร จึงจะสามารถเข้ารับสมัครเป็นทหารองครักษ์สวิสประจำวาติกันได้

อาชีพทหารองครักษ์สวิสถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ในความสง่างามของทหารองครักษ์สวิส ชุดที่สวมใส่นั้นมีส่วนส่งเสริมให้โดดเด่นยิ่งขึ้น กล่าวกันว่า มิเกลันเจโล(Michelangelo) เป็นผู้ออกแบบ แต่ราฟาเอล(Raphael) เป็นผู้พัฒนา ชุดในช่วงฟื้นฟูศิลปวิทยา ชุดทหารองครักษ์สวิส(Swiss Guard Uniform) ในสมัยแรกเป็นชุดเกราะสีเทาเงิน ช่วงบนหมวกเป็นโลหะประดับด้วยขนไก่ฟ้า หรือขนนกกระจอกเทศสีแดง ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายอย่างตามยุคสมัย แต่โดยทั่วไปยังคงรูปแบบหลักไว้อยู่ ปัจจุบันเครื่องแบบยังคงมีสีสัน เหลือง น้ำเงินเข้ม แดง รูปทรงปราณีตขึ้น เสื้อแขนพองถึงข้อศอก กางเกงขายาวพองเลยเข่า เข็มขัดคาดเอวสีน้ำตาล ปกเสื้อสีขาว ถุงมือสีขาว ยกเลิกหมวกแบบเดิมหมวกที่เป็นโลหะประดับด้วยขนนกกระจอกเทศสีแดงให้ใช้เฉพาะงานที่เป็นพิธีการเท่านั้น ปรับเปลี่ยนเป็นหมวกเบเร่ต์สีดำธรรมดา ชุดทหารองครักษ์สวิส(Swiss Guard Uniform) นับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี คุณสามารถพบเห็นทหารสวิสสง่างามยืนประจำการตามจุดต่างๆ ที่นครวาติกัน สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวมาเป็นเวลานาน ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวนคลิกอ่าน ของอร่อยอิตาลีไม่ได้มีดีแค่พิซซ่า

 

11. Ghillie Brogues & Kilt Hose ประเทศสกอตแลนด์

Ghillie Brogues & Kilt Hose

 

หากนึกถึงคิลต์(Kilt) ชุดประจำชาติของประเทศสกอตแลนด์ กระโปรงสั้นผ้าลายสกอตจับจีบพับทบกันทำจากผ้าลายตาหมากรุก คุณอาจจะไม่ได้นึกถึงส่วนประกอบท่อนล่าง เช่น รองเท้า และถุงเท้า เพราะสีสันของกระโปรงคิลต์ดึงดูดให้เห็นเป็นอันดับแรก ภายใต้ปลายกระโปรงสั้น รองเท้า และถุงเท้าก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน รองเท้า และถุงเท้าที่ใส่กับคิลต์(Kilt) ช่วยส่งเสริมให้องค์ประกอบทั้งหมดมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

Freebirdtourชวนไปรู้จักกับ Ghillie Brogues รองเท้าที่ได้รับการพัฒนามาจาก Brogues ซึ่งมาจากภูมิปัญญาของชาวไฮแลนด์ในสกอตแลนด์ ในอดีตเป็นรองเท้าธรรมดาที่ใช้สำหรับผู้ใช้แรงงาน ทำจากหนังกวางแบบหยาบ แล้วเจาะรูเพื่อระบายน้ำ ช่วยให้น้ำไหลออก และเพื่อให้รองเท้าแห้งเร็วขึ้น มีเชือกผูกไว้เหนือข้อเท้าเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้รองเท้าถูกโคลนดูด มีการพัฒนารูปแบบมาโดยตลอดเป็นเวลายาวนานแต่ยังคงเอกลักษณ์สำคัญเอาไว้จนปัจจุบันกลายเป็นรูปทรงที่สวยงาม Ghillie Brogues ยังคงมีเชือกผูกยาวพันรอบข้อเท้าและผูกรัดไว้ใต้น่อง ใส่คู่กับ Kilt hose ถุงเท้ายาวเกือบถึงเข่า ปลายถุงเท้าด้านบนพับลงมาส่วนหนึ่ง Garter flashes เป็นสายยางยืดที่สวมด้านในของปลายถุงเท้าด้านบนที่พับลงมา มีแถบผ้าสั้นๆที่ห้อยลงจากแนวพับเป็นลายผ้าหมากรุก หรือเป็นผ้าสีพื้น คิลต์(Kilt) จะไม่สมบูรณ์แบบหากขาด Ghillie Brogues & Kilt Hose ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวนคลิกอ่าน 8 สิ่งยูนีคที่ทำให้สกอตแลนด์พิเศษกว่าที่ใด และ สกอตไม่ได้มีดีแค่วิสกี้

 

แม้แต่ละประเทศจะมีแฟชั่นการแต่งกายที่แตกต่างกัน แต่ทุกๆ การแต่งกายก็สะท้อนเอกลักษณ์ และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศได้เป็นอย่างดี เราอาจจะเดินทางท่องเที่ยวเรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิต รากเหง้า ผ่านสถานที่ท่องเที่ยว ผ่านคนท้องถิ่น ผ่านอาหารการกิน และแน่นอนต้องรวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เป็นเปลือกห่อหุ้มร่างกายของพวกเราทุกคน


         

 



 

- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -   

สนใจโปรแกรมทัวร์ยุโรปคลิกที่นี่

 

คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์

โทร.02-0488-785-7 Hotline 085-151-1000 , 094-782-6888 และ 093-570-3000

    instagramfreebirdtour  twitter freebirdtour  Youtube freebirdtour    

 

Visitors: 463,261